Skip to main content

News in:  BM | TH | CN

วอลโว่ บัส ยกระดับรถโดยสาร เดินหน้าคัดโรงประกอบตัวถังคุณภาพมาตรฐานระดับโลก

วอลโว่ บัส ยกระดับรถโดยสาร เดินหน้าคัดโรงประกอบตัวถังคุณภาพมาตรฐานระดับโลก
เพื่อให้สอดคล้องกับค่านิยมองค์กรด้านคุณภาพและความปลอดภัย เพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการรถโดยสารได้รถคุณภาพมาตรฐานสากลเพื่อให้บริการลูกค้า บริษัท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จำกัด

ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายรถบัสจากประเทศสวีเดนอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เดินหน้านโยบายคัดสรรผู้ประกอบตัวถังรถโดยสารเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ประกอบการรถโดยสารในประเทศไทยที่ต้องการใช้รถวอลโว่ บัส สามารถเลือกใช้ผู้ประกอบตัวถังได้หลายราย ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการก่อตั้งบริษัทในประเทศไทยที่ต้องการเพิ่มความคล่องตัวในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า นายเดชชัย กุลกรินีธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าขณะนี้ วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) กำลังดำเนินโครงการเพิ่มผู้ให้บริการประกอบตัวถังบนแชสซีวอลโว่ บัส ซึ่ง “เรามีนโยบายที่ชัดเจนในการยกระดับคุณภาพของรถวอลโว่ บัส ที่วิ่งบนท้องถนน จะต้องเป็นรถที่ได้มาตรฐานระดับโลก โดยลูกค้าของเราจะต้องมีทางเลือกผู้ประกอบตัวถังมากกว่า 1 ราย ดังนั้น ที่ผ่านมา เราจึงเริ่มนำเสนอรถประกอบสำเร็จรูปนำเข้าจากบริษัท Truckquip Sdn. Bhd ประเทศมาเลเซีย เพื่อเป็นทางเลือก แต่ในระยะยาวแล้ว เราจะต้องนำเสนอทางเลือกในประเทศมากกว่านี้ จึงเป็นที่มาของโครงการคัดเลือกผู้ประกอบตัวถังวอลโว่ บัส” นายเดชชัย กล่าว

นายเดชชัย กล่าวว่าโครงการนี้จะเริ่มดำเนินการได้ในเดือนมิถุนายน โดยจะประกาศเชิญชวนผู้ประกอบตัวถังรถที่สนใจจะเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับวอลโว่ บัส เพื่อนำเสนอบริการประกอบตัวถังรถวอลโว่ บัส ให้แก่ลูกค้าที่สั่งซื้อแชสซีส์ของวอลโว่ บัส ได้พิจารณาและเจรจาต่อรองเงื่อนไขการประกอบรถได้อย่างอิสระ โดยวอลโว่ บัส มีแนวทางการพิจารณาคุณสมบัติในด้านต่าง ๆ ของผู้สนใจ และสรุปในรูปแบบของการให้คะแนนเพื่อคัดเลือกผู้ประกอบตัวถังที่ได้คุณภาพตามมาตรฐานระดับโลกของวอลโว่ บัส กำกับและควบคุมโดยวอลโว่ บัส สวีเดน “เราไม่ได้กำหนดจำนวนผู้ที่จะผ่านเกณฑ์ของเราเพราะเรายึดคุณภาพของผู้สมัครว่าผ่านเกณฑ์การคัดเลือกของเราหรือไม่ แต่แน่นอนครับ เราพยายามจะให้มีผู้ให้บริการจำนวนหนึ่งที่มากเพียงพอกับจำนวนลูกค้าของเรา” นายเดชชัย กล่าว

นายเดชชัย กล่าวว่าความปลอดภัยและคุณภาพ ถือเป็นค่านิยมหลักของ วอลโว่ บัส ทั่วโลก ดังนั้น โครงการคัดเลือกผู้ประกอบตัวถังวอลโว่ บัส จึงถือเป็นนโยบายสำคัญที่บริษัทแม่ที่สวีเดนเห็นชอบให้เร่งดำเนินการ  “เราคงไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกำหนดราคาค่าประกอบตัวถัง เพราะจะต้องขึ้นกับความต้องการของลูกค้าที่มีสเป็คเฉพาะตัวของลูกค้าแต่ละรายที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งภายใน การเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นต้น แต่เราจะทำงานร่วมกับผู้ประกอบตัวถังเช่นการฝึกอบรม การตรวจสอบขั้นตอนการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานวอลโว่ บัส และการเป็นที่ปรึกษาให้กับทั้งลูกค้าและผู้ประกอบตัวถังเพื่อให้ลูกค้าได้รถที่มีคุณภาพมาตรฐานระดับโลกของวอลโว่ บัส รวมถึงการตรวจสภาพรถก่อนการส่งมอบให้ลูกค้า” นายเดชชัย กล่าว

นายเดชชัย กล่าวว่าแม้ว่าขณะนี้ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาวิกฤติโควิด19 วอลโว่ บัส ประเทศ “เรายังเชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยจะสามารถผ่านวิกฤติโควิดระลอก 3 ไปได้ด้วยการเร่งระดมฉีดวัคซีน ซึ่งหากเป็นไปตามแผนงานของรัฐบาลที่กำหนดว่าจะสามารถเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวกลับมาได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ยอดขายวอลโว่ บัส น่าจะกลับมาสู่สภาพปกติได้” นายเดชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่าในท่ามกลางวิกฤติครั้งนี้ แม้ตลาดท่องเที่ยวจะทรุดตามธุรกิจท่องเที่ยว แต่ธุรกิจรับส่งพนักงานในนิคมอุตสาหกรรม ยังคงเป็นตลาดที่โดดเด่น ทั้งนี้เพราะภาคการผลิตในประเทศไทยยังคงเดินหน้า อันเป็นผลมาจากอุตสาหกรรมของประเทศไทยถือเป็นส่วนสำคัญของห่วงโซ่อุปทานของตลาดโลก จึงยังคงมีคำสั่งซื้อจากในประเทศและต่างประเทศ

วอลโว่ บัส รุกตลาดรถบัสในประเทศไทย

วอลโว่ บัส รุกตลาดรถบัสในประเทศไทย
เพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าใหม่และลูกค้าปัจจุบัน เป้ายอดขายปีนี้ 91 คัน

บริษัท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จำกัด เดินหน้าพัฒนาตลาดรถบัสในประเทศไทย โดยเปิดทางเลือกเพิ่มให้แก่ลูกค้าที่ต้องการสั่งซื้อรถวอลโว่ บัส โดยสามารถสั่งซื้อกับพันธมิตรบริษัท เชิดชัย มอเตอร์เซลส์ จำกัด และสั่งซื้อโดยตรงกับบริษัท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จำกัด ทั้งนี้เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการให้บริการทั้งในด้านการขายและการให้บริการหลังการขาย อีกทั้งยังเป็นการกระชับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างวอลโว่ บัส กับ กลุ่มลูกค้าปัจจุบันและในอนาคต

นายเดชชัย กุลกรินีธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าการจัดตั้งบริษท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จำกัด ครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแถลงการณ์ของวอลโว่ กรุ๊ป เมื่อเร็ว ๆ นี้ในการสร้างพันธมิตรด้านยุทธศาสตร์ร่วมกับ อีซูซุ มอเตอร์ ซึ่ง อีซูซุ มอเตอร์ ที่ได้เข้าซื้อกิจการของยูดี ทรัคส์ โดยการซื้อขายดังกล่าวคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสแรกของปีนี้ ภายใต้หลักการและเงื่อนไขที่ชัดเจน

“ดังนั้น ภายใต้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เรามีบริษัทใหม่ที่จะมาดูแลลูกค้าของเราได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้กับลูกค้าของเรามีทางเลือกที่จะสั่งแชสซีส์ของเราไปประกอบตัวรถบัสกับผู้ประกอบรถบัสตามความประสงค์ของลูกค้าภายใต้การกำกับของเราเพื่อให้ลูกค้าได้รับรถวอลโว่ บัส ที่มีมาตรฐานของเรา แต่ลูกค้าก็ยังสามารถสั่งซื้อรถวอลโว่ บัส โดยตรงกับพันธมิตรอันยาวนานของเราคือเชิดชัย มอเตอร์เซลส์ ได้เหมือนเดิมทุกประการ” นายเดชชัย กล่าว

นายเดชชัย กล่าวว่าการเข้ามาของวอลโว่ บัส ถือเป็นการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างวอลโว่ บัส สวีเดน กับเชิดชัย มอเตอร์เซลส์ ที่เป็นพันธมิตรของวอลโว่ บัส อย่างยาวนาน ให้สามารถทำงานร่วมกันและสนับสนุนการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันการจัดตั้งบริษัทใหม่ยังเป็นการยืนยันความพร้อมให้บริการและให้การสนับสนุนและดูแลลูกค้าของวอลโว่ บัส อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น “เราตั้งบริษัทใหม่ครั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นกับลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าในอนาคตว่าเรายังมีความรับผิดชอบและยังคงดูแลลูกค้าของเราต่อไปในระดับที่เข้มข้นยิ่งขึ้นเพราะเรามีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้นภายใต้การให้บริการทั้งก่อนการขายและหลังการขายที่มีมาตรฐานสูงของวอลโว่ บัส จากประเทศสวีเดน ภายใต้การบริหารงานที่มีความคล่องตัวมากขึ้น และที่สำคัญคือเราจะมีการทำงานที่ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นกับพันธมิตรอันยาวนานของเราคือเชิดชัย มอเตอร์เซลส์” นายเดชชัย กล่าว

นายเดชชัย กล่าวว่าวอลโว่ บัส ไม่ได้มีข้อยกเว้นในด้านผลกระทบจากการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID19 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งในประเทศไทยธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบโดยตรง จึงทำให้ตลาดรถทัวร์ที่รองรับนักท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและชาวต่างชาติ ได้รับผลกระทบโดยตรงเช่นกัน จึงทำให้ยอดขายวอลโว่ บัส ในปีที่ผ่านมาลดลงเหลือเพียง 38 คัน อย่างไรก็ตาม วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) มีความเชื่อมั่นว่าเมื่อประเทศไทยมีวัคซีนแล้ว จะทำให้สถานการณ์คลี่คลาย และธุรกิจท่องเที่ยวน่าจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดรถบัสสำหรับภาคการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน นายเดชชัยกล่าวว่าภายหลังการจัดตั้งบริษัทใหม่แล้ว วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จะรุกตลาดในทุกด้าน ทั้งตลาดท่องเที่ยว ตลาดโรงงานอุตสาหกรรมและภาคราชการ ภายใต้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเชิดชัย มอเตอร์เซลส์ โดยตั้งเป้ายอดขายในปีนี้ที่ 91 คัน สำหรับบริการหลังการขาย นายเดชชัย กล่าวว่าลูกค้าปัจจุบันจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของวอลโว่ กรุ๊ป ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย เพราะลูกค้ายังคงสามารถใช้ช่องทางการให้บริการหลังการขายได้จากเครือข่ายดีลเลอร์ของยูดี ทรัคส์ ทั้ง 14 แห่งทั่วประเทศ

“ผมขอยืนยันว่าในเรื่องบริการหลังการขายนั้น ลูกค้ายังได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานสูงจากสวีเดน เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ลูกค้าจะได้รับเพิ่มเติมจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือการบริการก่อนการขายและหลังการขายที่ดีขึ้นและกระชับมากยิ่งขึ้นเพราะเราที่เป็นบริษัทลูกจากประเทศสวีเดน จะเข้ามาให้การดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ซึ่งต่างจากอดีตที่เราเป็นหน่วยงานหนึ่งภายใต้การกำกับของวอลโว่ กรุ๊ปในประเทศไทย แต่วันนี้เรามาในนามของวอลโว่ บัส ประเทศสวีเดน” นายเดชชัย กล่าว

วอลโว่ บัส เริ่มทดสอบรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศเม็กซิโก

วอลโว่ บัส เริ่มทดสอบการใช้รถโดยสารไฟฟ้า Volvo 7900 Electric Bus ในเม็กซิโก ซิตี้ ซึ่งเป็นการรุกเข้าสู่กลุ่มประเทศลาตินอเมริกา หลังจากที่ได้นำเสนอทางเลือกแบบยั่งยืนให้กับเมืองต่างๆ ทั่วโลก ด้วยระบบรถโดยสารไฟฟ้า

นับจากความสำเร็จของการนำรถโดยสารไฟฟ้าเข้าสู่ระบบการขนส่งสาธารณะทั่วทวีปยุโรป วอลโว่ บัส ในขณะนี้ ได้รุกก้าวต่อไปในการขยายการให้บริการรถโดยสารไฟฟ้าไปยังกลุ่มประเทศลาตินอเมริกาด้วยการทดสอบรถโดยสารไฟฟ้า Volvo 7900 Electric Bus ในเมืองเม็กซิโก ซิตี้ โดยได้เริ่มทดสอบบนถนนสายที่ 4 ของระบบ Mexico City Metrobus System ซึ่งรถที่นำไปทดสอบ เป็นรถขนาดความยาว 12 เมตร ที่ใช้เทคโนโลยีในแบบฉบับของวอลโว่ บัส ที่ไม่สร้างมลพิษทางอากาศและมลพิษทางเสียง ทั้งนี้เพื่อความยั่งยืนของการพัฒนาเมือง

“ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า จะไม่ใช่แค่เทคโนโลยีสำหรับอนาคตอีกต่อไป มันพร้อมแล้วสำหรับวันนี้ ความต้องการรถโดยสารที่ช่วยลดมลพิษทั้งทางอากาศและทางเสียงกำลังเดินไปข้างหน้า เม็กซิโก ซิตี้ ถือเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ได้เข้าร่วมกับวอลโว่ บัส ในการทดสอบการใช้รถโดยสารที่ขับเคลื่อนด้วยระบบพลังงานไฟฟ้า เช่นเดียวกับเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกที่ได้เริ่มทดสอบระบบขนส่งสาธารณะที่ใช้พลังงานขับเคลื่อนจากไฟฟ้า” คุณแอนนา เวสเธอร์เบิร์ก (Anna Westerberg) ประธาน วอลโว่ บัส กล่าว

“ระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ถือเป็นการสร้างโอกาสการพัฒนาเมือง ทั้งนี้เพราะระบบขนส่งสาธารณะด้วยระบบไฟฟ้านั้นไร้มลพิษทั้งทางอากาศและทางเสียง ทำให้รถดังกล่าวสามารถเข้าใกล้แหล่งชุมชน หรือแม้กระทั่งหน้าประตูบ้านของผู้คนชิดกับประชาชนตามเมืองต่าง ๆ ขณะนี้เราเข้าไปใกล้ถึงประตูบ้านผู้คน” คุณราฟาเอล ไคเซล (Rafael Kisel) กรรมการผู้จัดการวอลโว่ บัส ประเทศเม็กซิโก กล่าว

วอลโว่ บัส เป็นรถโดยสารในประเทศเม็กซิโกมายาวนานกว่า 20 ปี และได้นำเสนอทางเลือกด้วยเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมล้ำหน้าเพื่อความยั่งยืนของระบบขนส่งในประเทศต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายที่จะนำเสนอแนวคิดเมืองปลอดมลพิษ (Zero City) โดยใช้เทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า อันมีองค์ประกอบที่ไร้มลพิษ ไร้รถติด ไร้อุบัติเหตุและไร้มลพิษทางเสียง

วอลโว่ บัส ถือเป็นองค์กรที่ได้รับความเชื่อถือและมีประสบการณ์ในด้านระบบขนส่งด้วยพลังงานไฟฟ้า และประสบความสำเร็จในเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกในช่วงระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา รถโดยสาร Volvo 7900 Electric bus ที่กำลังทดสอบบนเส้นทาง Metrobus เป็นผลผลิตที่มาจากประสบการณ์อันยาวนานของวอลโว่ บัส ในระบบขนส่งด้วยพลังงานไฟฟ้า -

“เราได้ทุ่มเทกับกระบวนการที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว อันประกอบด้วยความร่วมมืออย่างดีจากพันธมิตรของเรา กระบวนการของเราไม่ใช่เกี่ยวกับระบบขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว แต่มันยังรวมไปถึงส่วนที่เกี่ยวเนื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบการชาร์จไฟฟ้า แบตเตอร์รี่ และบริการ รวมไปถึงบริการระบบเชื่อมโยงต่าง ๆ ตลอดจนการซ่อมบำรุงและการฝึกอบรม” คุณแอนนา เวสเธอร์เบิร์ก กล่าว Volvo 7900 Electric bus ที่กำลังทดสอบใน เม็กซิโก ซิตี้ ขับเคลื่อนด้วยแบตเตอร์รี่ที่มีกำลังขับที่ 330 กิโลวัตต์ ซึ่งชาร์จไฟเข้าแบตเตอร์รี่ในช่วงกลางคืน และเป็นรถโดยสารที่ถูกออกแบบให้ความสะดวกสบายแก่ผู้โดยสารด้วยพื้นในห้องโดยสารที่ต่ำ ซึ่งเหมาะกับผู้โดยสารทั่วไป นอกจากนี้ ในห้องโดยสารยังมีพื้นที่สำหรับผู้โดยสารที่ต้องใช้รถเข็น หรือแม้แต่ผู้โดยสารพิการทางสายตาที่มีสุนัขนำทาง รถรุ่นนี้จะถูกนำไปทดลองใช้เป็นระยะเวลา 6 เดือน

วิมณทิพย์ ทรานสปอร์ต

วิมณทิพย์ ทรานสปอร์ต ตอกย้ำนโยบายทางเลือกวอลโว่ บัส ต้องมากกว่า 1 ราย สั่งรวดเดียว 10 คันจากมาเลเซีย

อยากให้รัฐบาลสนใจบริษัทรถรับนักท่องเที่ยว บริษัท วิมณทิพย์ ทรานสปอร์ต จำกัด ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรถรับจ้างไม่ประจำทางในหมวด 30 หรือรถขนส่งนักท่องเที่ยว เดินหน้าสั่งนำเข้าประกอบสำเร็จรถวอลโว่ บัส 10 คันจากประเทศมาเลเซีย เพื่อเสริมกองรถที่มีอยู่ในปัจจุบัน 57 คัน

นางวิภาพร ชาลาประวรรตน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท วิมณทิพย์ ทรานสปอร์ต จำกัด เปิดเผยว่าจากนโยบายของวอลโว่ บัส (ประเทศไทย) ที่ได้เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรถบัสให้สามารถนำเข้ารถประกอบสำเร็จรูปจากต่างประเทศเข้ามาใช้ในประเทศไทย เพื่อเป็นทางเลือกจากอดีตที่มีเพียงผู้ประกอบตัวถังรถวอลโว่ บัส เพียงรายเดียว

“เรามีประสบการณ์ที่ซื้อรถนำเข้าจากมาเลเซียมา 1 คัน เพื่อทดลองใช้ ปรากฎว่าลูกค้าชอบมาก ทำให้เราตัดสินใจสั่งซื้อเพิ่มอีก 10 คันเพราะรถที่ประกอบสำเร็จมาจากมาเลเซียนั้น มีคุณภาพสูง และความปลอดภัยที่ลูกค้าสัมผัสได้ โดยทางผู้ประกอบตัวรถที่มาเลเซียพร้อมปรับในเรื่องการตกแต่งภายในให้ตรงกับใจเราได้เพราะเป็นผู้ใช้งาน เราย่อมรู้ดีว่าลูกค้าต้องการนั่งรถบัสแบบไหนอย่างไร” นางวิภาพร กล่าว

รถวอลโว่ บัส จำนวน 10 คันที่บริษัท วิมณทิพย์ ทรานสปอร์ต จำกัด สั่งนำเข้าจาก บริษัท Truckquip Sdn. Bhd ประเทศมาเลเซีย เป็นรถประกอบสำเร็จรูปจากบริษัท Truckquip Sdn. Bhd.ประเทศมาเลเซีย โดยใช้แชสซีส์ วอลโว่ บัส รุ่น B8R เป็นรถขนาดเครื่องยนต์ 7.7 ลิตร 330 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 1200 นิวตันเมตร ที่รอบ 1200 – 1650 rpm ซึ่งรถประกอบสำเร็จรูปจากประเทศมาเลเซียนี้ ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้กับบริษัทผู้ประกอบกิจการให้บริการขนส่งผู้โดยสารในประเทศไทย ที่มีความต้องการใช้รถโดยสารที่มีคุณภาพสูง ในราคาจับต้องได้

ทางด้านนายเดชชัย กุลกรินีธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวเพิ่มเติมว่าขณะนี้ วอลโว่ บัส ได้เชิญชวนผู้ประกอบตัวถังรถบัสที่สนใจจะร่วมเป็นพันธมิตรของวอลโว่ บัส ให้ส่งรายละเอียดโรงประกอบของตนเองพร้อมแผนงานปรับปรุงโรงประกอบตัวถังให้ตรงกับคุณสมบัติที่วอลโว่ บัส ได้กำหนดตามสเป็คของวอลโว่ บัส ประเทศสวีเดน ทั้งนี้เพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ลูกค้าที่สามารถเลือกใช้ตัวถังจากโรงประกอบได้มากกว่า 1 ราย

นางวิภาพร กล่าวว่าจากนโยบายของรัฐบาลที่เร่งระดมฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด19 แบบปูพรหมทั่วประเทศในขณะนี้ อีกทั้งรัฐบาลมีนโยบายที่จะเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวในรูปแบบ Sand Box โดยเริ่มต้นที่จังหวัดภูเก็ต เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ นอกจากนี้รัฐบาลกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา มีแผนจะหารือกับกระทรวงการคลังในการจัดตั้งกองทุน 10,000 ล้านบาทเพื่อใช้เป็นแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่ ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว อาทิ บริษัททัวร์นำเที่ยว โรงแรม รถนำเที่ยว นวดสปา บริษัทฯ จึงได้เดินหน้าแผนการเตรียมความพร้อมกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

โดยขณะนี้ได้รับการติดต่อจากบริษัททัวร์ที่เป็นคู่ค้าก่อนเกิดวิกฤติโควิด19 ซึ่งบริษัททัวร์เหล่านี้เป็นบริษัทที่นำนักท่องเที่ยวรายได้สูงจากยุโรป อเมริกาและญี่ปุ่น มาใช้จ่ายในประเทศไทยและบริษัทฯ ได้รับการยืนยันจากบริษัทเหล่านี้ว่าได้เริ่มขายแพ็คเก็จทัวร์ในประเทศไทยให้กับลูกค้าแล้ว ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่านักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวมีความพร้อมที่จะกลับมาท่องเที่ยวในประเทศไทย จึงได้เดินหน้าโครงการปรับปรุงสภาพรถบัสที่มีอยู่ 57 คัน ให้พร้อมใช้งานทันที พร้อมกันนี้ ยังได้สั่งซื้อรถใหม่จากบริษัท วอลโว่ บัส (ประเทศไทย) จำกัดเพิ่มอีก 10 คันเพื่อต้อนรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว

“ปีที่ผ่านมา เราพูดได้เลยว่ารถเราจอดสนิท ทำให้รายได้เราสูญไปถึง 69 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว เราไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา ทำให้เราต้องหยุดจ้างงานพนักงานไปจำนวนหนึ่ง แต่เรายังมีการติดต่อกันตลอดเวลาเพราะเราโชคดีที่เราได้พนักงานที่รักองค์กรและเข้าใจถึงความจำเป็นและพวกเขายังมีทางออกในการไปขับรถให้กับธุรกิจขนส่งที่ยังมีความต้องการพนักงานขับรถ แต่ความผูกพันธ์กับองค์กรยังมีอยู่สูงและมีการสอบถามเราตลอดเวลาถึงการกลับมาของแขกนักท่องเที่ยว เมื่อพวกเขาทราบข่าวความเคลื่อนไหวครั้งนี้ พวกเขาดีใจมากและพร้อมที่จะกลับมาขับรถกับเราอีกครั้งหนึ่ง” นางวิภาพร กล่าว

บริษัท วิมณทิพย์ ทรานสปอร์ต จำกัด ดำเนินธุรกิจให้บริการรถนักท่องเที่ยวตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544 โดยเริ่มจากรถบัสเพียง 10 คัน และการดำเนินธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการเพิ่มรถบัสอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีรถบัสในกองรถทั้งสิ้น 67 คัน เป็นรถวอลโว่ บัสจำนวน 52 คัน นอกจากนี้ ยังมีรถมินิบัสอีก 6 คันและรถตู้อีก 11 คัน ลดลงจากอดีตที่มีรถตู้มากกว่า 60 คัน ซึ่งเป็นผลกระทบจากวิกฤติโควิ19 นางวิภาพร กล่าวว่าช่วงวิกฤติโควิด19 ผู้ประกอบรถโดยสารไม่ประจำทางในหมวด 30 ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยที่มีรถ 1 – 3 คัน ต้องเลิกกิจการไปเป็นจำนวนมากอันเป็นผลมาจากเงินทุนหมุนเวียนไม่เพียงพอ ส่วนบริษัทที่ยังอยู่รอดได้ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนประคองกิจการเพื่อรอการกลับมาของนักท่องเที่ยว

“เราอยากจะขอให้รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการขนส่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการตรวจสภาพรถตามระเบียบของกรมการขนส่งทางบกที่ระบุไว้ว่าให้รถขนส่งต้องตรวจสภาพปีละ 2 ครั้ง แต่ในความเป็นจริงของการทำงาน การตรวจสภาพรถนั้น ควรจะมีการระบุอายุของรถไว้ให้ชัดเจนว่ารถที่ควรจะต้องตรวจสภาพนั้น ควรจะต้องมีอายุการใช้งานเมื่อครบ 5 ปีแล้ว เพราะรถใหม่จนถึง 5 ปีนั้น สภาพรถยังถือว่าอยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานได้ ซึ่งหากจะเปรียบเทียบกับรถเก๋ง จะต้องตรวจสภาพรถเมื่อใช้งานขึ้นปีที่ 8 ดังนั้นรถโดยสารหากจะต้องตรวจสภาพเมื่อครบอายุใช้งาน 5 ปี ถือว่าสมเหตุสมผลมากกว่า” นางวิภาพร กล่าว

นางวิภาพร กล่าวว่าธุรกิจท่องเที่ยวถือเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยที่สำคัญและเครื่องยนต์นี้รัฐบาลไม่ต้องทุ่มเททรัพยากรให้มากเหมือนอุตสาหกรรมอื่น แต่ผลตอบแทนต่อประเทศนั้น สูงมากและกระจายไปในกลุ่มอาชีพที่หลากหลายถ้วนหน้า จึงอยากให้รัฐบาลหันมาสนใจปัญหาของบริษัทผู้ให้บริการรถนักท่องเที่ยวด้วยการให้ความช่วยเหลือบริษัทเหล่านี้บ้างโดยผลักดันนโยบายที่จับต้องได้มายังบริษัทผู้ให้บริการรถนักท่องเที่ยว

“ธุรกิจของพวกเรามันไม่เหมือนกับธุรกิจอื่นที่สามารถหยุดการเลือดไหลได้ด้วยการหยุดธุรกิจไปเฉย ๆ แต่ธุรกิจของพวกเราทำแบบนั้นไม่ได้เพราะรถที่มีอยู่ต้องมีการบำรุงรักษาตามโปรแกรม จะต้องนำรถออกวิ่งตามเวลาที่กำหนด หากไม่ทำตามโปรแกรมบำรุงรักษาแล้ว การนำรถกลับมาวิ่งรับนักท่องเที่ยว จะอันตรายมากเพราะรถมีโอกาสสูงมากที่จะเสียระหว่างการให้บริการ และหากเป็นเช่นนั้น จะสร้างความสูญเสียทางธุรกิจกับเราและกับประเทศอย่างมาก” นางวิภาพร กล่าว

นางวิภาพร กล่าวว่าบริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างมากกับคุณภาพรถที่จะให้บริการนักท่องเที่ยว โดยได้ลดรอบอายุการใช้งานของรถลงจากเดิม 10 ปีมาเหลือเพียง 5 ปี ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนรถใหม่ทดแทนรถเก่าทุก 5 ปี ทั้ง ๆ ที่อายุการใช้งานของรถบัสคุณภาพสูงอย่างวอลโว่ บัส มีอายุใช้งานสูงถึง 20 ปี แต่เพื่อให้ลูกค้ามีความพึงพอใจระดับสูงสุด บริษัทฯ จึงกำหนดนโยบายให้รถมีสภาพที่ดีที่สุด พร้อมใช้งานและส่งมอบบริการระดับสูงสุดให้กับลูกค้าระดับพรีเมียม

สแกนเนีย 2022 มุ่งมั่นขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงสู่ระบบการขนส่งที่ยั่งยืน

สแกนเนีย 2022 มุ่งมั่นขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงสู่ระบบการขนส่งที่ยั่งยืน

นายโจฮัน คลาสัน ผู้อำนวยการฝ่ายขาย และการตลาด และหัวหน้างานด้านความยั่งยืน บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2565 สแกนเนียยังคงมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระบบการขนส่งที่ยั่งยืน พร้อมกับการขับเคลื่อนผลกำไรให้กับลูกค้าของเราด้วย โดยภายในปี 2564 ที่ผ่านมา สแกนเนียเป็นบริษัทผู้ผลิตรถบรรทุกและรถโดยสารเพียงรายเดียวที่เข้าร่วมรับรองในบันทึกความเข้าใจระดับโลกที่ร่วมกันให้คำมั่นสัญญาที่จะทำให้ยานยนต์ในประเทศของตนปลอดมลภาวะภายในปี 2583 เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมรถเพื่อการพาณิชย์

นอกจากนี้ สแกนเนีย ได้เตรียมผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองทั้งการสร้างระบบการขนส่งที่ยั่งยืนพร้อมสร้างผลกำไรให้ลูกค้าไปพร้อมกัน ด้วยการนำหลักการขนส่งที่ยั่งยืน 3 ประการ ได้แก่ 1. ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Fuel Efficiency) ซึ่งหมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ช่วยทำให้ใช้พลังงานน้ำมันสำหรับการเผาไหม้น้อยลง ปล่อยมลพิษน้อยลง และแน่นอนว่าต้นทุนขนส่งก็ลดลงไปด้วย เป็นการช่วยเพิ่มผลกำไรให้ธุรกิจไปพร้อมกัน 2. เชื้อเพลิงทางเลือกและพลังงานไฟฟ้า (Alternative Fuels and Electrification) สแกนเนียส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล โดยไม่จำเป็นต้องทำการปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ และสร้างผลลัพธ์ที่ดีในการลดการปล่อยคาร์บอนโดยตรง และการนำพลังงานไฟฟ้ามาใช้ในภาคธุรกิจการขนส่ง และ 3.การขนส่งที่ชาญฉลาดและปลอดภัย (Smart and Safe Transport ) ปัจจุบันรถสแกนเนียมีการติดตั้งระบบที่จะช่วยดูแล แจ้งสถานะการทำงาน และตำแหน่งของรถได้แบบเรียลไทม์ เพื่อประเมินช่วงเวลาในการบำรุงรักษารวมทั้งแจ้งเตือนความผิดปกติของรถก่อนที่ขัดข้อง ทำให้ลูกค้าวางแผนการทำงานได้ดียิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดเหตุขัดข้องระหว่างการทำงาน ซึ่งส่งผลให้มีผลกำไรสูงขึ้นและมีปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์น้อยลง

นายโจฮัน กล่าวว่า “ พลังงานไฟฟ้า และ eMobility จะเป็นส่วนหนึ่งในอนาคตอย่างแน่นอน สแกนเนียให้ความสำคัญในการลงทุนและเปลี่ยนแปลงสู่เทคโนโลยีใหม่ โดยในปีที่ผ่านมา เรามีการเปิดตัวรถทั้งไฮบริด และปลั๊กอินไฮบริด ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสู่การผลิตรถไฟฟ้าเต็มรูปแบบ และถือเป็นแบรนด์แรกของรถบรรทุก

โดยสแกนเนียได้ทดสอบเปรียบเทียบรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่กับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์สันดาปเพื่อดูถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่มีผลดีต่อโลกมากกว่า นอกจากนั้นเรายังได้ส่งมอบรถบรรทุกไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ กับลูกค้า เช่น SCA, Jula Logistics และ Wibax สิ่งนี้แสดงให้ทั้งลูกค้า และเราเห็นว่ารถบรรทุกไฟฟ้าสามารถขนส่งทางไกล และขนส่งของที่หนักมาก เช่น ไม้ซุง ได้เช่นกัน สำหรับรถบรรทุกไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับข้อกำหนดเบื้องต้นของตลาด ความต้องการของลูกค้า ตลอดจนรูปแบบธุรกิจเสียก่อน ” “ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปี 2565 จะเป็นอีกปีที่ท้าทาย แม้ว่าเราเชื่อว่าจะมีการฟื้นตัวในตลาด แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก เรามุ่งเน้นที่จะสนับสนุนลูกค้าของเราให้มีการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว และร่วมกันกำหนดทิศทางสำหรับอนาคตด้วยโซลูชั่นที่ขับเคลื่อนผลกำไรของลูกค้าของเราอย่างแท้จริง ทั้งความสามารถในการปรับแต่งข้อเสนอผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้า รวมถึงบริการที่เป็นเลิศ เช่น การเงิน สัญญาบริการ และการฝึกอบรมผู้ขับขี่ เราสร้างทางเลือกที่ง่ายสำหรับลูกค้า และทำให้ลูกค้าเข้าใจว่าเราสามารถสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจของพวกเขาได้อย่างไร โดยเป้าหมายของเราในปี 2565 คือรักษาความเป็นผู้นำ และสร้างความแข่งแกร่ง ด้วยการทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้า เพื่อปรับปรุงและพัฒนา Solution Sales ของเราให้ตอบสนองทุกความต้องการของลูกค้า ”นายโจฮัน กล่าวทิ้งท้าย

สแกนเนีย กับ “สัญญาบริการ” ให้ลูกค้าต่อสู้ในตลาดอย่างแข็งแกร่ง

ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจ สแกนเนีย ชู “สัญญาบริการ” เป็นหัวใจให้ผู้ประกอบการ ต่อสู้ในตลาดได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วยงานบริการหลังการขายเต็มรูปแบบ มาตรฐานและรับประกันคุณภาพระดับสากลให้กับลูกค้าคนไทย รวมถึงการเชื่อมโยงงานบริการกับระบบเทคโนโลยีที่ช่วยบริหารจัดการฟลีทรถ และแผนการบำรุงรักษารถแต่ละคัน เพื่อประโยชน์และผลกำไรของลูกค้าสแกนเนียทุกท่าน

นายจักรี รักขาวชญานนท์ ผู้จัดการด้านสัญญาบริการ บริษัท สแกนเนียสยาม จำกัด กล่าวว่า ในปัจจุบัน “สัญญาบริการ”เป็นปัจจัยในการตัดสินใจของลูกค้าเพื่อเลือกซื้อรถ โดยเฉพาะในเชิงพาณิชย์อย่างรถบรรทุกและรถโดยสาร ที่ผู้ซื้อนำไปใช้ทำมาหากิน สัญญาบริการจึงเป็นการดูแลงานซ่อมและบำรุงรักษาให้กับลูกค้าด้วยมาตรฐานศูนย์บริการสแกนเนีย ลูกค้าจึงมั่นใจได้กับอะไหล่แท้พร้อมรับประกันและงานซ่อมตามมาตรฐานสแกนเนีย โดยสแกนเนียมีระบบสัญญาณเชื่อมโยงกับตัวรถ เพื่อนำข้อมูลมาทำการวิเคราะห์ปัญหาอย่างแม่นยำ สามารถเก็บประวัติการบำรุงรักษา ระยะทางการวิ่งของรถและพฤติกรรมการขับขี่ เพื่อนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพได้อย่างดี

โดยสแกนเนียจะมีสัญญาบริการให้เลือกพิจารณา 2 ประเภท คือ 1.สัญญาซ่อมและบำรุงรักษา และ 2.สัญญาบำรุงรักษา หรือ คือการดูแลงานเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและตรวจสอบสภาพรถ แต่ไม่รวมงานซ่อม สำหรับในช่วงสถานการณ์โควิด-19 สแกนเนียได้จัดโปรโมชั่นออกมาในแบบสัญญาบำรุงรักษาในราคาพิเศษ โดยจะมี 4 โปรแกรม คือ S-M-S-L S เป็นรอบเล็ก M รอบกลาง และ L รอบใหญ่ ในช่วงโปรโมชัน เหลือเพียง 66,000 บาท จากราคาปกติ 80,000-90,000 บาทต่อสัญญาบำรุงรักษา 4 โปรแกรม ทำให้จะช่วยลูกค้าประหยัดไปประมาณ 2 -3 หมื่นบาท

นอกจากนี้รถทรัคของสแกนเนียที่ใช้แล้วเป็นเวลานาน ลูกค้าสามารถนำมาเปลี่ยนรถเป็นรถรุ่นใหม่ได้ โดยสแกนเนียมีแผนกรับซื้อรถใช้แล้วมาให้บริการด้วย

“ดังนั้นความสำคัญของ “สัญญาบริการ” หากเทียบกับรถที่มีสัญญากับไม่มีสัญญานั้น ปัญหาคือรถที่ไม่มีสัญญาจะไม่สามารถควบคุมหรือคำนวณค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้ในแต่ละครั้ง และงบประมาณการซ่อมอาจบานปลายได้ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น มาตรฐานการขับของผู้ขับขี่แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน เส้นทางการขนส่ง สินค้าที่บรรทุก เป็นต้น แต่สัญญาบริการจะคำนวณค่าใช้จ่ายที่แน่นอนในแต่ละเดือนให้เรียบร้อย ซึ่งครอบคลุมงานซ่อมและบำรุงรักษา รวมถึงอุปกรณ์อะไหล่ต่าง ๆ ไว้แล้ว ผู้ประกอบการสามารถนำไปวางแผนทั้งค่าใช้จ่ายและรายได้ ได้แม่นยำมากขึ้น สามารถวางแผนธุรกิจได้ไกลมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระงานด้านธุรการ งานเอกสาร ลดขั้นตอนและเวลาในการเข้าศูนย์บริการ โดยศูนย์บริการสแกนเนียจะทำการเสนอราคาอนุมัติงานซ่อมประกันตามสัญญาบริการให้อัตโนมัติ พูดง่าย ๆ เราจะเหมือนเป็นลูกค้าที่ดูแลผลประโยชน์ให้ลูกค้านั่นเอง เพราะสแกนเนียดูแลให้ทุกขั้นตอน” นายจักรี กล่าว

นายจักรี กล่าวต่อว่า 35 ปีในประเทศไทยของสแกนเนีย เราฟังเสียงจากลูกค้าคนไทยเสมอมา ทำให้เราปรับปรุงเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์ผู้ประกอบการคนไทยมากขึ้น เช่น สัญญาบริการที่คิดตามระยะทางการใช้งาน กิโลเมตรละ 1 บาท โดยทำสัญญากับสแกนเนียในระยะยาว 5 ปีหรือระยะการใช้รถ 6 แสนกิโลเมตร ก็จะชำระค่าสัญญาบริการเพียง 6 แสนบาท (เป็นรูปแบบรายปีหรือแล้วแต่จะตกลงกัน) ทั้งนี้เมื่อซื้อรถบรรทุกสแกนเนียคันใหม่ ลูกค้าจะได้แถมงานซ่อมฟรี 2 ปี (หรือ 270,000 กิโลเมตรอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) พร้อมบำรุงรักษาฟรี 5 ปี (หรือ 600,000 กิโลเมตรอย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)ไปกับตัวรถอยู่แล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า หลังจากนั้นขึ้นอยู่กับการเจรจากับลูกค้ากับสแกนเนียในการขยายสัญญาเพิ่มเติม นอกจากนี้ นายจักรีกล่าวถึงพื้นฐานของ Connected Service (ระบบเชื่อมต่องานบริการ) ที่มีความเชื่อมโยงกับ Fleet Management System (ระบบช่วยบริหารจัดการฟลีทรถ) ว่า โดยปกติแล้วรถสแกนเนียจะมีระบบตัวส่งสัญญาณที่ติดตั้งในตัวรถเรียกว่า C300 เป็นอุปกรณ์ที่ส่งข้อมูลจากตัวรถ มาเก็บไว้ในระบบของสแกนเนีย ทำให้เมื่อรถเกิดปัญหา เราสามารถวิเคราะห์ได้จากระยะไกล อีกทั้งศูนย์บริการสามารถรู้และแจ้งให้ลูกค้าได้ทราบก่อนเกิดความเสียหายหนัก ข้อมูลนี้ยังสามารถรู้ถึงพฤติกรรมการขับขี่ จึงสามารถนำมาแนะนำปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ ประหยัดน้ำมัน ลดการสึกหรอของชิ้นส่วนต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยสแกนเนียมีทีมผู้ฝึกสอนการขับขี่คอยให้บริการในส่วนการแนะนำนี้ด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้รถลูกค้ามีความพร้อมใช้งานสูงสุด ให้ลูกค้าแข่งขันในตลาดแบบไม่พลาดแม้แต่งานเดียว (No room for downtime)

สแกนเนีย ประเทศไทย

สตีน่า เฟเกอร์แมน นายใหญ่ของสแกนเนีย ประเทศไทย กล่าวกับ Asian Trucker เมื่อตอนต้นปี 2020 ก่อนมีมาตรการล็อค ดาวน์ อันเนื่องมาจากวิกฤตไวรัส โควิด ว่าสถานการณ์ต่างๆ สามารถรับมือด้วยการทำงานที่มีทิศทาง ทำงานเคียงข้างใกล้ชิดกับลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อดูความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า และดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ชั่วพริบตาเดียวโลกและประเทศไทยเกิดเรื่องราวต่างๆ ขึ้นมากมาย ภายใต้การทำงานเป็นทีมของสแกนเนีย ประเทศไทย ทำให้รถสแกนเนีย โฉมใหม่ตลอดทั้งปี 2020 ยังคงสามารถทำตลาดส่งมอบให้กับลูกค้าผู้ใช้งานทั่วประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปรดักส์ที่ทำตลาดได้ดีคือรถหัวลากรุ่น P360 ซึ่งมีขีดความสามารถที่ตอบโจทย์กับแทบจะทุกกิจการขนส่งในประเทศไทย

สิ่งที่สแกนเนียสื่อสารสู่ตลาดเสมอมาคือแชสซีส์ของสแกนเนียมีความยืดหยุ่นสูงสามารถรองรับการต่อตัวถังได้หลากหลาย เครื่องยนต์มีประสิทธิภาพ มีอัตราการสิ้นเปลืองที่ต่ำ ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนในการขนส่งสินค้าทุกประเภทให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั่นคืองานบริการของสแกนเนียที่สามารถเข้าไปอยู่ในใจของลูกค้าได้ ซึ่งตอบรับกับสิ่งที่สแกนเนียมุ่งหวัง นั่นคือรับฟังลูกค้า ดูความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ปรับให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย ตลอดปี 2020 เรามีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ประกอบการขนส่งเกือบทั่วประเทศไทยที่มีรถสแกนเนียเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของตนเอง ทุกคนล้วนมีความประทับใจกับผลิตภัณฑ์และงานบริการที่สแกนเนียมีให้

ด้วยเหตุนี้ตลอดปี 2020 จนข้ามมาสู่ปี 2021 แม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศไทยและโลกจะต้องเผชิญหน้าอยู่กับสถานการณ์ที่ยากลำบาก แต่สแกนเนีย ประเทศไทย ก็ยังคงสามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มเติมส่วนที่ยังขาดอยู่เพื่อให้สามารถดูแลลูกค้าของสแกนเนียได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ

สแกนเนีย พัฒนาเพิ่มรุ่นมาตรฐานในสต๊อกพร้อมส่งมอบให้ลูกค้า

สแกนเนีย พัฒนาเพิ่มรุ่นมาตรฐานในสต๊อกพร้อมส่งมอบให้ลูกค้า

ครบรอบ 35 ปี สแกนเนีย สยาม มีรถบรรทุกรุ่นมาตรฐานในสต็อกพร้อมส่ง ตอบโจทย์ตลาดขนส่งไทยมากขึ้นด้วยรุ่น P 360 A6x2NA (CP17)

นางสาวดวงใจ พงศ์ประเทืองสุข ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการงานขาย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด เปิดเผยว่า สแกนเนีย สยาม จำกัด ผู้นำการขนส่งระดับโลกจากสวีเดนได้อยู่เคียงข้างการขนส่งในประเทศไทยมาครบ 35 ปี เพื่อการขนส่งที่ยั่งยืนในวันนี้ สู่อนาคตธุรกิจที่เหนือกว่า โดยทางสแกนเนียมีความตั้งใจที่จะทำการตลาดในประเทศไทยต่อเนื่องในระยะยาว

นายณรงค์ฤทธิ์ อิทธิสารรณชัย ผู้จัดการฝ่ายสนับสนุนการขาย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด กล่าวเสริมถึงรายละเอียดของรถรุ่น P 360 A6x2NA (CP17) ว่า เป็นรุ่นล่าสุดที่สแกนเนียมองว่ามีความเหมาะสมกับธุรกิจขนส่งของประเทศไทย ด้วยกำลังแรงม้า 360 แรงม้า มีระบบขับเคลื่อน 6x2 เกียร์ออพติครูส ช่วงล่างถุงลม ควบคุมด้วยระบบความปลอดภัยระดับสูงพร้อมเบรก ABS ควบคุมเบรกหลักด้วย EBS ทำงานควบคุมระบบเบรกทั้งหมดด้วย BMS / เบรกไอเสีย Exhaust brake และเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB / ระบบป้องกันการลื่นและการพลิกคว่ำ ESP และด้วยหัวเก๋งที่นอนพับได้ ทำให้เพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้สะดวก และช่วยเพิ่มปริมาณงานขนส่ง

“จากการสำรวจความต้องการของลูกค้าในตลาดรถบรรทุก และธุรกิจขนส่ง รถบรรทุกโมเดลมาตรฐานใหม่รุ่นที่ 7 P 360 A6x2NA (CP17) เป็นรถบรรทุกที่สามารถตอบโจทย์ของลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยรถบรรทุกรุ่นนี้ได้ถูกนำมาพัฒนา และเติมเต็มสิ่งอำนวยความสะดวก และบริการ เหมาะสำหรับการขนส่งสินค้า และผลิตภัณฑ์ในทุกรูปแบบ ด้วยรูปทรง สมรรถนะ และประสิทธิภาพที่มีความปลอดภัยสูง อย่างเช่น ธุรกิจการขนส่งประเภทพลังงานน้ำมัน และปิโตรเคมี หรือก๊าซธรรมชาติต่างๆ ที่ต้องการมาตรฐานรถขนส่งที่มีความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานยุโรป รถบรรทุกของสแกนเนียก็สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทั้งหมด”ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการงานขาย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัดกล่าว

นางสาวดวงใจกล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้สแกนเนียได้มีการผลิตรถรุ่นมาตราฐานมาแล้ว 6 รุ่นเพื่อตอบโจทย์กับธุรกิจขนส่งของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายในตลาดของประเทศไทย ซึ่งสแกนเนียคือหนึ่งในทางเลือกที่ดีที่สุด โดยสแกนเนียมีรถที่สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ทั้งการขนส่งระยะสั้น และระยะยาว รวมทั้งมีขนาดหัวเก๋งที่เหมาะสมกับการใช้งาน นอกจากนั้น สแกนเนียมีการบริหารจัดการงานผลิตและควบคุมสต็อกที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ตอบสนองการส่งมอบรถให้ลูกค้าได้อย่างดี ให้ธุรกิจลูกค้าดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง

“รถสแกนเนียยังคงขึ้นชื่อเรื่องประหยัดน้ำมัน โดยเฉลี่ย 5% เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม และมีบริการที่ครอบคลุม ตั้งแต่บริการทางการเงินโดยสแกนเนีย สยาม ลีสซิ่ง ที่ให้คุณเป็นเจ้าของสแกนเนียได้ง่ายขึ้น และศูนย์บริการที่มีประสิทธิภาพทั่วประเทศ อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพงานขนส่งด้วยการเชื่อมต่อข้อมูลของรถพร้อมกับการฝึกอบรมพนักงานขับ” นางสาวดวงใจ กล่าวเสริม

สแกนเนีย รุ่น 540S คว้ารางวัลชนะเลิศในการทดสอบจากสื่อที่เป็นกลาง

เมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา Scania ได้เข้าร่วมการทดสอบเปรียบเทียบ จัดโดยนิตยสารการค้าของยุโรปในเยอรมนี

ขณะนี้ผลการทดสอบ 1,000 Punkte Test (การทดสอบ 1,000 จุด) และ European Truck Challenge (ETC) ได้รับการเผยแพร่แล้ว เมื่อเทียบกับคู่แข่งชั้นนำรถของสแกนเนียรุ่น 540 S ของ สแกนเนียได้รับรางวัลทั้งสองประเภท ด้วยอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี .

“การชนะการทดสอบเปรียบเทียบ ถือเป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์สำหรับตำแหน่งผู้นำในอุตสาหกรรมของ Scania” Stefan Dorski รองประธานอาวุโสและหัวหน้า Scania Trucks กล่าว “ เมื่อนักข่าวอิสระและมีประสบการณ์ประเมินทุกแง่มุมที่เกี่ยวข้องของผลิตภัณฑ์ของเราด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์และเปรียบเทียบกับเพื่อน ๆ ของเรา ผลลัพธ์จะบอกเล่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องอย่างมากสำหรับผู้ซื้อรถบรรทุกที่มีศักยภาพ”

การทดสอบ 1,000 คะแนนและ ETC เป็นการทดสอบเปรียบเทียบที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดสำหรับรถบรรทุกหนักเชิงพาณิชย์ในโลก จัดโดยนิตยสารการค้าของเยอรมันโดยมีนักข่าวอาวุโสจากประเทศอื่น ๆ เข้าร่วม

คุณภาพที่เกี่ยวข้องกับรถขนส่ง เช่น สภาพแวดล้อมของคนขับ ความสบายในการนอน ระดับเสียงจะได้รับการประเมินรวมถึงด้านอื่น ๆ เช่นการจัดการบนท้องถนนการเปลี่ยนเกียร์และความสามารถในการซ่อมบำรุง รถบรรทุกยังขับไปมากกว่า 300 กม. บนถนนสาธารณะประเภทต่าง ๆ พร้อมกับอุปกรณ์ตรวจวัดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับเทียบแล้วเพื่อยืนยันปริมาณการใช้เชื้อเพลิงที่แท้จริงด้วยความแม่นยำสูงสุด จากนั้นทุกแง่มุมจะได้รับคะแนนที่เพิ่มให้กับผลลัพธ์สุดท้ายของรถบรรทุกแต่ละคัน

“เราได้รับรางวัลคะแนนรวมสูงสุดในการทดสอบทั้งสองครั้งนี้ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมภูมิใจมากที่สุดที่รถบรรทุกของเรามีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำที่สุดในขณะเดียวกันก็ให้ความเร็วเฉลี่ยสูงสุดด้วย” Dorski กล่าว "สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการขนส่งที่ยั่งยืนของ Scania ซึ่งไม่เพียงแต่ลูกค้าของเราจะได้รับผลกำไรทางธุรกิจจากผลลัพธ์ที่โดดเด่นนี้เท่านั้น แต่ยังให้การสนับสนุนอย่างมากในการต่อสู้กับมลพิษทางอากาศจากการปล่อยก๊าซ CO2 ที่โลกกำลังเผชิญอยู่”

การทดสอบ 1,000 คะแนนจัดโดย Michael Kern ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารการค้าหลายฉบับรวมถึง "Lastauto Omnibus" ETC จัดโดย Hans-Jürgen Wildhage ตีพิมพ์ใน“ KFZ Anzeiger” และนิตยสารอื่น ๆ อีกหลายฉบับ การเข้าร่วมการทดสอบ 1,000 คะแนนซึ่งจัดขึ้นในเดือนตุลาคม 2020 ได้แก่ Scania 540 S, MAN TGX 18.510 BLS และ Mercedes Actros 1853 LS ที่เข้าร่วมการทดสอบ ETC ในเดือนพฤศจิกายน 2020 ได้แก่ DAF XF 530, Scania 540 S, MAN TGX 18.510 BLS และ Mercedes Actros 1853 LS ผู้ผลิตรายใหญ่ในยุโรปทั้งหมดได้รับเชิญให้เข้าร่วมการทดสอบทั้งสอง

สแกนเนีย แชมป์รถบรรทุกยุโรป 5 ปีซ้อน เผยยอดขายปี 2564

สแกนเนีย สยาม เผยยอดขายปี 2564 พร้อมเป้าหมายปี 2565 พร้อมอัพเกรดสเปกรถบรรทุกให้กับรุ่นมาตรฐานทั้ง 7 รุ่นรองรับอุตสาหกรรมขนส่งทุกประเภท และเคียงข้างสนับสนุนกลุ่มลูกค้าตลาดรถโดยสาร อีกทั้งบริการไฟแนนซ์ฟรีเงินดาวน์ ผ่อน 72 งวดมัดใจลูกค้า

นางสาวดวงใจ พงศ์ประเทืองสุข ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการงานขาย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา (ปี2564) สแกนเนียมียอดขายรถบรรทุกจำนวน 315 คัน และรถบัสจำนวน 42 คัน ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ และทำให้สแกนเนียยังครองแชมป์ด้านยอดขายรถบรรทุกแบรนด์ยุโรปในประเทศไทยเป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน โดยในปี 2565 สแกนเนียตั้งเป้าหมายยอดขายรถบรรทุกที่จำนวน 320 คัน และรถบัส จำนวน 40 คัน เพิ่มเป้าหมายขึ้นจากเดิมเล็กน้อย จากสถานการณ์ที่ทั่วโลกกำลังประสบปัญหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เซมิคอนดักเตอร์ขาดแคลน ซึ่งส่งผลกับสายการผลิตของแบรนด์รถทุกแบรนด์ทั่วโลก แต่สำหรับสแกนเนียมีการวางแผนการผลิต และสต็อกสินค้า ทำให้สามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าตามระยะเวลาที่กำหนด และตรงความต้องการของลูกค้า

“ในปีนี้ ทางสแกนเนียได้มีการปรับปรุงสเปกรถโดยใส่ความปลอดภัย เพิ่มเซฟตี้แพ็กเกจเข้าไปในรถทั้ง 7 รุ่นที่เรามี เพื่อให้พร้อมใช้งานในทุก ๆ อุตสาหกรรม เช่น ระบบควบคุมเบรกด้วยไฟฟ้า (EBS) ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวรถ (ESP) สวิตช์ตัดแบตเตอรี่ แน่นอนว่ายังคงประหยัดเชื้อเพลิงขึ้น 5% จากรุ่นเดิม นอกจากนี้ ยังมีงานบริการที่ครอบคลุมช่วยตอบโจทย์งานขนส่งให้ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น และสำหรับรถบรรทุกยังคงมีของแถมเหมือนเดิม คือ ซ่อมฟรี 2 ปี และบำรุงรักษาฟรี 5 ปี”

นางสาวดวงใจกล่าวต่อว่า นอกจากการเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยในรถรุ่นมาตรฐานทั้ง 7 รุ่นแล้ว ยังได้มีการเพิ่มบริการขาย สร้างฐานลูกค้าในโซนภาคตะวันตกมากขึ้น รวมถึงเตรียมความพร้อมด้านศูนย์บริการ และอะไหล่ให้กับลูกค้าทุกแห่งทั่วประเทศ สแกนเนียจะเจาะกลุ่มเป้าหมายโดยใช้นโยบายเชิงรุกให้พนักงานขายไปช่วยบริการ และช่วยวิเคราะห์ปัญหาให้กับลูกค้าเพื่อให้ลูกค้าได้ประโยชน์ทางธุรกิจ และกำไรสูงสุด นอกจากนี้ การขายยังมีบริการสนับสนุนจาก สแกนเนีย สยาม ลีสซิ่ง (SSL) ที่ตอบโจทย์เงื่อนไขให้ลูกค้าอย่างยืดหยุ่น เช่น บริการ low documentation ที่ช่วยอนุมัติวงเงินให้ลูกค้าได้ง่ายกว่าเดิม โดยลูกค้าสามารถซื้อรถแบบไม่มีเงินดาวน์ และใช้เอกสารเพียงเล็กน้อยในการขออนุมัติวงเงินซื้อรถ เช่น ใช้แค่ใบเสร็จค่างวดล่าสุด ก็สามารถปล่อยวงเงินกู้ให้ทันที 9 ล้านบาทโดยไม่มีเงินดาวน์ ส่วนอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับระยะเวลาการส่ง และการผ่อนชำระ โดยให้ผ่อนชำระได้สูงสุด 72 งวด หรือ 6 ปี และให้เครดิตกับลูกค้าในการชำระเงิน หรือที่เรียกกันว่าขับฟรีก่อน 3 เดือน หรือ 90 วัน ค่อยเริ่มชำระค่างวดแรก

นอกจากนี้ ปีนี้สแกนเนียยังได้จัดโปรโมชั่นสำหรับลูกค้าเก่า เรียกว่าระบบ low documentation เฟส 2 โดยเพิ่มวงเงินกู้จากเดิม 9 ล้านบาทเป็น 18 ล้านบาท ในการออกรถใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุก หรือรถบัส ซึ่งผู้ประกอบการขนส่งสามารถซื้อรถได้เพิ่มขึ้น เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจ สำหรับวิกฤตเศรษฐกิจยุคนี้ สแกนเนียยินดีในการปรับโครงสร้างหนี้ จากการจ่ายขั้นต่ำในทุกรูปแบบ เพราะสแกนเนียเข้าใจธุรกิจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี เดินเคียงข้างเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือ ให้ลูกค้ากลับฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างดีที่สุด

สแกนเนียปรับกลยุทธ์รุกธุรกิจสินเชื่อ ช่วยผู้ประกอบการสร้างสภาพคล่องทางการเงิน

พงษ์ระวี คว้าดีลใหญ่ขนส่งน้ำมันสถานีบริการเชลล์ เผยเน้นใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยเต็มสมรรถนะ มั่นใจเลือก วอลโว่ ทรัคส์ เป็นพาร์ทเนอร์

พงษ์ระวี บริษัทขนส่งวัตถุอันตรายชั้นนำในอาเซียน เซ็นสัญญาใหญ่ย้ำการเติบโตต่อเนื่องทุกปี มั่นใจเลือกรถ Volvo FM11 รุ่นใหม่ หนุนขับเคลื่อนธุรกิจโตรับรายได้หลักพันล้านภายในปี 2566 พร้อมเตรียมศึกษาขยายธุรกิจสู่การขนส่งสินค้าในกลุ่มอาหารแช่แข็ง และ สินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในอนาคต
นายสุรศักดิ์ บุญรอด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พงษ์ระวี จำกัด เปิดเผยว่า “พงษ์ระวี ดำเนินธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าและวัตถุอันตรายมาแล้วกว่า 26 ปี ปัจจุบันมีรถบรรทุกกว่า 300 คัน พร้อมพนักงานขับรถกว่า 500 คน โดยมีสัดส่วนการดำเนินงานที่การขนส่งน้ำมันปิโตรเลียม และวัตถุอันตราย คิดเป็น 90% ส่วนอีก 10% เป็นการขนส่งประเภทอื่นๆ อาทิเช่น ขนส่งรถยนต์ และอื่นๆ พงษ์ระวีมีระบบการจัดการที่ได้มาตรฐานสูงมุ่งเน้นความปลอดภัยในการขนส่งสินค้า ซึ่งในปีนี้เราได้เซ็นสัญญาในการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงจากบริษัท เชลล์ แห่งประเทศไทย จำกัด เป็นระยะเวลา 8 ปี โดยทางบริษัทฯ มีการสั่งซื้อรถบรรทุก Volvo FM11 จำนวน 21 คัน ซึ่งมีสมรรถนะสูงตรงตามความต้องการของลูกค้า เพื่อนำมาใช้ในภารกิจขนส่งตามที่ได้รับมอบหมายตลอดระยะเวลาสัญญา
ด้วยประสบการณ์การทำสัญญากับบริษัทข้ามชาติที่มีมาตรฐานระดับโลกหลายบริษัท เราทราบถึงมาตรฐานอันเข้มงวดของธุรกิจการขนส่งสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง และวัตถุอันตราย ทั้งมาตรฐานจากสหรัฐอเมริกา และยุโรป พร้อมได้ศึกษาข้อกำหนด ข้อควรระวัง และแนวทางการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพมาเป็นอย่างดี ทำให้สามารถนำเอารายละเอียดข้อกำหนดต่าง ๆ เหล่านั้น มาสร้างเป็นมาตรฐานที่ดีในการขนส่งให้แก่พงษ์ระวี พร้อมทั้ง ตระหนักเป็นอย่างดีถึง การบริหารจัดการควบคู่ไปกับเทคโนโลยีและสมรรถนะของรถบรรทุกที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้บริษัทสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
แม้ภาพรวมธุรกิจขนส่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา จะมีการปรับตัวลดลงจากสถานการณ์โควิด – 19 และการผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ทางบริษัทก็ได้มีการปรับตัวรับวิกฤติที่ผ่านมาและสามารถดำเนินกิจการได้อย่างมั่นคงและพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป อีกทั้งยังสามารถทำรายได้ให้เติบโตสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาถึง 10% ด้วยโครงสร้างการบริหารจัดการที่ดีในเรื่องต้นทุนการดำเนินงานและการพัฒนาบุคลากรทุกระดับอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้เราเตรียมขยายการบริการงานขนส่งสินค้าประเภทอื่นให้เพิ่มขึ้นในปีถัด ๆ ไป เช่น การบริการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) อาทิ งานขนส่งสินค้าแช่แข็งโดยใช้รถควบคุมอุณหภูมิที่มีเครื่องทำความเย็น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง และยังมีความต้องการเพิ่มอีกในอนาคต โดยตั้งเป้าว่าจะเพิ่มสัดส่วนในการขนส่งอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่เป็นบริการหลักของเราให้เติบโตเพิ่มราว 10% ในทุกปี และตั้งเป้ารายได้ให้เติบโตแตะหลักพันล้านในปี 2566”
นายสมพรชัย โสภาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท พงษ์ระวี จำกัด กล่าวเสริมว่า “บริษัทฯ เราเลือกใช้รถบรรทุก Volvo FM11 330 แรงม้า ในการเข้าร่วมประมูลงานขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงในครั้งนี้ เนื่องด้วยธุรกิจการขนส่งสินค้าประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง และวัตถุอันตรายต้องการความปลอดภัยสูงสุด อีกทั้งลูกค้ายังมีข้อกำหนดในเรื่องของศักยภาพการทำงาน และคุณสมบัติแบบเจาะจงของรถบรรทุกที่ทำการขนส่งสินค้าอีกด้วย ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีและสมรรถนะของรถบรรทุก Volvo FM11 330 แรงม้า รุ่นใหม่นี้ สามารถตอบโจทย์ในทุกด้านโดยเฉพาะการลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุ และขนส่งได้ถึงที่หมายอย่างมีประสิทธิภาพด้วยมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด นอกจากนี้ เรายังมีการจัดอบรบให้กับพนักงานขับรถอย่างสม่ำเสมอ และมีการให้เงินพิเศษสำหรับพนักงานขับรถที่ดูแลรักษาสภาพรถ และขับขี่ได้ปลอดภัยไม่มีอุบัติเหตุ เป็นแรงจูงใจให้พวกเขาระมัดระวังทุกครั้งเมื่ออยู่หลังพวงมาลัยเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการขนส่งหรือ ละเมิดข้อตกลงในทุก ๆ ด้านกับลูกค้า”
ด้าน มร.มาร์ติน ซอมเมอร์ รองประธานกรรมการฝ่ายขายวอลโว่ ทรัคส์ ประเทศไทย กล่าวปิดท้ายว่า “สำหรับการส่งมอบรถใหม่ครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมงานวอลโว่ ทรัคส์ และบริษัท พงษ์ระวี ในการคัดเลือก ออกแบบและปรับแต่ง ตัวรถให้ได้ตรงตามความต้องการสำหรับงานขนส่งวัตถุอันตรายโดยเฉพาะ โดยล็อตนี้เป็นครั้งแรกในการนำเสนอรถบรรทุกสิบล้อรุ่น FM11 330 แรงม้า ที่มาพร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยเต็มรูปแบบ เช่น ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวป้องกันการพลิกคว่ำ (ESP) ระบบเตือนการชนด้านหน้า พร้อมด้วยระบบเบรกอัตโนมัติ ระบบแจ้งเตือนการเปลี่ยนเลน และรักษาช่องทางการขับขี่อัตโนมัติ เป็นต้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สามารถตอบโจทย์งานขนส่งน้ำมันปิโตรเลียมที่ต้องการทั้งประสิทธิภาพในการขนส่ง การขับขี่ประหยัดน้ำมัน และความปลอดภัยสูงสุด ในราคาที่คุ้มค่าหากเปรียบเทียบกับสมรรถนะรวมที่ได้รับ
นอกจากนี้วอลโว่ ได้นำเสนอสัญญาบริการซ่อมบำรุง (Service agreement) แบบ Gold contract เป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเบาใจในเรื่องการซ่อมบำรุง และรับทราบค่าใช้จ่ายแบบคงที่ ทั้งหมดนี้ทำให้ลูกค้าไว้วางใจให้เราเป็นพาร์ทเนอร์ในโปรเจคใหม่นี้ และเราเชื่อมั่นว่า Volvo FM11 รุ่นใหม่ จะช่วยให้ธุรกิจงานขนส่งของพงษ์ระวีสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างราบรื่นและประสบความสำเร็จตามที่ลูกค้าได้ตั้งเป้าหมายไว้”

สแกนเนียมุ่งมั่นสู่การลดคาร์บอน

สแกนเนียมุ่งมั่นสู่การลดคาร์บอน

สแกนเนีย เผยหลัก 3 ประการ เพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ผลักดันการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบการขนส่งที่ยั่งยืน (Driving the shift towards a sustainable transport system) แม้สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกยังคงส่งผลกระทบธุรกิจอุตสาหกรรมรถยนต์อย่างต่อเนื่อง แต่เป้าหมายด้านสู่ความยั่งยืนยังคงเดินหน้าต่อไป

นายโจฮัน คลาสัน ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดและหัวหน้างานด้านความยั่งยืน บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2564 คาดว่าจะเป็นปีที่ยากลำบากของภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยต่อเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 แต่ “สแกนเนีย” ผู้ผลิตรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดใหญ่จากสวีเดน จะยังคงไม่ทิ้งเป้าหมายที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่ระบบการขนส่งที่ยั่งยืน ด้วยผลิตภัณฑ์ งานบริการ และเทคโนโลยีที่มีความพร้อมสำหรับธุรกิจลูกค้า เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนของประเทศไทย ด้วยการนำหลักการขนส่งที่ยั่งยืน 3 ประการ มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพระบบขนส่งในระดับต่าง ๆ ได้แก่ 1. ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency) ซึ่งหมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเชื้อเพลิง ช่วยทำให้ใช้พลังงานน้ำมันสำหรับการเผาไหม้น้อยลง เมื่อเผาไหม้น้อยลงก็ปล่อยมลพิษน้อยลงไปด้วย แน่นอนว่าต้นทุนขนส่งก็ลดลงไปด้วย เป็นการช่วยเพิ่มผลกำไรให้ธุรกิจไปพร้อมกัน 2. เชื้อทางเลือกและพลังงานไฟฟ้า (Alternative Fuels and Electrification) โดยการพัฒนาการรองรับพลังงานทางเลือกและรถพลังงานไฟฟ้า ซึ่งแน่นอนว่าสามารถลดปริมาณการปล่อยมลพิษได้อย่างชัดเจนและ 3.การขนส่งที่ชาญฉลาดและปลอดภัย (Smart and Safe Transport ) โดยสแกนเนียได้พัฒนาระบบการขนส่งอัจฉริยะและปลอดภัย เพราะนักขับคือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สุดในธุรกิจขนส่ง ระบบอัจฉริยะที่ช่วยให้ขับขี่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และปลอดภัยยิ่งขึ้น นอกจากจะช่วยลดอุบัติเหตุบนสังคมท้องถนนแล้ว ยังช่วยบริหารธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งทั้ง 3 หลักการด้านการขนส่ง จะสามารถช่วยให้ระบบขนส่งของเราสะอาดปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น นายโจฮัน กล่าวว่า “ตามความตกลงปารีส ปี 2559 มีหลายประเทศได้ร่วมลงนามกับองค์การสหประชาชาติเกี่ยวกับความร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ทำให้สแกนเนียมุ่งมั่นอย่างมากที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนให้ทุกคนจริงจังกับความยั่งยืน เพราะมันไม่ใช่เรื่องไกลตัวเราอีกต่อไป สภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ฝุ่น PM 2.5 รวมถึงการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกและภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นทั่วโลก ล้วนเกี่ยวข้องกับวิกฤตทางธรรมชาติ

“จุดประสงค์ของสแกนเนีย คือการผลักดันการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบบการขนส่งที่ยั่งยืนมากขึ้นไม่ว่าเราจะอยู่ในยุโรปหรือไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใดในโลกก็ตาม และมากกว่าร้อยละ 25 ของไอเสีย คาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดมาจากอุตสาหกรรมการจราจรและระบบการจราจรขนส่งทางบก โดยเรามุ่งมั่นในการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา” นายโจฮัน กล่าว

ดังนั้นเพื่อเข้าสู่ระบบการขนส่งที่ยั่งยืนในแต่ละปีสแกนเนีย จึงได้ใช้งบประมาณจำนวนมากในการวิจัยและพัฒนาเพื่อความยั่งยืนพร้อมกับเพิ่มศักยภาพธุรกิจขนส่งให้กับลูกค้า แม้ในสถานการณ์โควิด-19 จะมีความรุนแรงต่อเนื่องยาวนาน แต่การดำเนินงานสู่ระบบการขนส่งที่ยั่งยืนยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยความร่วมมือและทำงานร่วมกับลูกค้าเพื่อคงความเป็นผู้นำด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และสนับสนุนให้ลูกค้าของเราสามารถสร้างความแตกต่าง โดยการทำตลาดและให้บริการไปพร้อมกับธุรกิจที่ยั่งยืนโดยใช้ผลิตภัณฑ์และบริการของสแกนเนีย

นายโจฮัน ยังให้ความเห็นว่า การขนส่งที่ยั่งยืนสามารถเพิ่มมูลค่าและโอกาสให้กับผู้ประกอบการขนส่งได้ พร้อมกับการลดมลพิษ จากที่ปัจจุบันการตั้งเป้าหมายการลดมลพิษเพื่อความยั่งยืน เป็นเรื่องที่บริษัทชั้นนำหลาย ๆ บริษัทมีอยู่ในแผนพื้นฐานทางธุรกิจ และสแกนเนียมีผลิตภัณฑ์และบริการที่พร้อมจะตอบโจทย์เหล่านั้นได้ “เรามีรถที่ตอบโจทย์ธุรกิจขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมงานบริการที่มีคุณภาพและระบบที่ช่วยวิเคราะห์เพื่อพัฒนาการขนส่งให้ดียิ่งขึ้น ให้ความยั่งยืน กับกำไรในธุรกิจดีขึ้นไปด้วยกัน”

ทั้งนี้เมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา สแกนเนียได้เปิดตัวรถบรรทุกไฟฟ้าเต็มรูปแบบ สามารถเดินทางได้ไกลสูงสุดถึง 250 กิโลเมตร ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และรถบรรทุกไฮบริด นอกจากนี้ ยังเปิดตัวเครื่องยนต์ V8 ใหม่ ที่พัฒนาให้มีกำลังสูงขึ้น แต่ปล่อยมลพิษน้อยลง ในตลาดยุโรปและอเมริกาใต้ แสดงให้เห็นว่าแม้ต้องประสบกับวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 แต่สแกนเนียไม่หยุดการพัฒนาด้านการขนส่งที่ยั่งยืน “ประเทศไทยมีทรัพยากรที่ดีสำหรับผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพอย่างไบโอดีเซล เนื่องจากเป็นประเทศเกษตรกรรม” และในปีเดียวกันสแกนเนียสามารถบรรลุการกำหนดเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับเป้าหมายของข้อตกลงปารีส (Science Based Targets initiative (SBTi) ได้สำเร็จ ซึ่งเป้าหมายที่ตั้งไว้คือการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนจากภายในองค์กรลงให้ถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับปริมาณการปล่อยคาร์บอนในปี พ.ศ.2558

สแกนเนียเปิดศูนย์บริการสระบุรีรองรับการเติบโตธุรกิจอย่างยั่งยืน

สแกนเนีย เปิดศูนย์บริการสระบุรี ใหม่ รองรับการเติบโตธุรกิจระยะยาว

สแกนเนีย สยาม ครบรอบ 35 ปี มุ่งมั่นพัฒนาการขนส่งที่ยั่งยืนในวันนี้ สู่อนาคตธุรกิจที่เหนือกว่า เปิดศูนย์บริการสระบุรีใหม่อย่างเป็นทางการ เพิ่มโอกาสทางธุรกิจให้กับลูกค้า พร้อมจัดโปรโมชันต้อนรับมากมาย อาทิของที่ระลึก เปิดให้บริการรอบกลางคืนเมื่อโทรจอง ส่วนลดค่าแรง 15% ตรวจเช็คฟรี 11 รายการ ใช้บริการครบ 30,000 บาทขึ้นไป รับบัตรกำนัล 500 บาท รวมถึงล้างแอร์ และตั้งศูนย์ถ่วงล้อฟรี

นายสถิตย์ ริยะตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการหลังการขาย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด เปิดเผยว่า เนื่องในโอกาสครบรอบ 35 ปี บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัด พร้อมให้บริการลูกค้าคนไทยระยะยาวอย่างยั่งยืน ด้วยการเปิดศูนย์บริการสระบุรีแห่งใหม่ ที่มีศักยภาพให้บริการได้มากขึ้น มีมาตรฐานเดียวกันกับสแกนเนียทั่วโลก บนพื้นที่กว่า 4 ไร่ มีช่องซ่อมจำนวน 6 ช่อง รวมทั้งมีเครื่องมือพิเศษ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่สามารถให้บริการได้รวดเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ในส่วนของออฟฟิศ และห้องพักสำหรับรับรองลูกค้า ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 30 กว่าล้านบาท

โดยการเปิดศูนย์บริการแห่งนี้ทางบริษัทมองถึงลูกค้าเป็นหลัก เนื่องจากจำนวนรถของลูกค้าในพื้นที่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วมีราว 100 คัน แต่ปัจจุบัน พื้นที่สระบุรีมีลูกค้าผ่านเข้าใช้บริการรวมกว่า 1,000 คัน ซึ่งการลงทุนครั้งนี้เป็น Captive Dealer ถือเป็นสาขาที่สแกนเนียลงทุน และบริหารจัดการทั้งหมดด้วยตัวเอง

แม้ช่วงนี้เป็นช่วงของการระบาดโควิด-19 การลงทุนบางอย่างเป็นไปได้ยาก แต่ทางสแกนเนียสำนักงานใหญ่ เห็นถึงความจำเป็นอยากให้ลูกค้าได้ประโยชน์ และต้องการดูแลลูกค้าแบบ พรีเมียม รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในประเทศไทยด้วยการลงทุนต่อเนื่องในระยะยาว “ศูนย์บริการสระบุรีของสแกนเนีย จะเป็นประตูไปสู่ภาคอีสาน และเชื่อมต่อกับภาคกลาง เราเน้นนโยบายสร้างศูนย์ใหม่ขึ้นมาเพื่อซัพพอร์ตลูกค้า และดูแลคนขับเป็นอย่างดีด้วยห้องพักที่ได้มาตราฐาน และมองว่าในโซนสระบุรีจะมีกลุ่มผู้ประกอบการด้านการขนส่ง (โลจิสติกส์) เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะที่ วังน้อยที่จะมีศูนย์กระจายสินค้า อาทิ DHL, TESCO หรือโรงปูน SCG รวมถึงกลุ่มธุรกิจของผู้ประกอบการต่างๆ มากมาย ยังไม่รวมรถบรรทุกทางผ่านตลอดเวลา” นายสถิตย์ กล่าว

นายสถิตย์ กล่าวต่อว่า เนื่องในโอกาสเปิดศูนย์บริการแห่งใหม่ในเดือนมิถุนายนนี้ ทางศูนย์จะมีของที่ระลึกแจก เปิดให้บริการรอบดึกเมื่อลูกค้านัดหมายล่วงหน้าก่อน 15.00 น. ส่วนลดค่าแรง 15% ตรวจเช็คฟรี 11 รายการ และหากใช้บริการกับทางศูนย์บริการครบ 30,000 บาทขึ้นไป รับบัตรกำนัล ราคา 500 บาท สามารถนำมาใช้ได้ในครั้งถัดไป และในช่วงที่อากาศร้อนแบบนี้ก็ยังมีบริการล้างแอร์ฟรี รวมถึงตั้งศูนย์ ถ่วงล้อฟรีอีกด้วย ในส่วนของสัญญาบริการ หากลูกค้าตัดสินใจซื้อภายในเดือนนี้จะมีบัตรกำนัลให้ในราคา 6,000 บาทต่อคัน โดยสามารถนำมาใช้ได้ในครั้งถัดไป

นายสถิตย์ กล่าวย้ำว่า “ทุกศูนย์บริการสแกนเนียในประเทศไทย เป็นมาตรฐานเดียวกับสแกนเนียทั่วโลก ลูกค้าจึงมั่นใจเข้าใช้บริการได้ในทุกสาขา สแกนเนียมีระบบนัดหมายที่ทำให้ทีมงานรู้ถึงกำหนดการซ่อมบำรุงของรถแต่ละคัน และมีการติดตามนัดหมายลูกค้าให้เข้าบำรุงรักษารถอย่างเหมาะสม รถจะสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่จอดเสียกลางทาง ธุรกิจก็จะเติบโตขึ้น ถ้าหากมองครึ่งปีหลัง ในปี 2564 ของศูนย์บริการสระบุรี น่าจะโตกว่าครึ่งปีแรก10 - 20% แต่ถ้ามองภาพรวมของศูนย์บริการ ทั่วประเทศจะโตกว่าครึ่งปีแรกประมาณ 5 - 8% เนื่องจากปัญหาของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นช่วงปี 2020 ทำให้ผู้ประกอบการสามารถรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ได้ในระดับหนึ่งแล้ว ทำให้ครึ่งปีหลังทุกอย่างจึงมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว”

สแกนเนียเผยวิธีประหยัดน้ำมันในธุรกิจโลจิสติกส์ ฝึกอบรมนักขับ และอีโคโหมด ช่วยลดต้นทุนงานขนส่ง

สแกนเนียเผยวิธีประหยัดน้ำมันในธุรกิจโลจิสติกส์
ฝึกอบรมนักขับ และอีโคโหมด ช่วยลดต้นทุนงานขนส่ง

สแกนเนีย (SCANIA) เผยเคล็ดลับการประหยัดน้ำมันช่วยธุรกิจโลจิสติกส์ไทยในยุคราคาน้ำมันแพง แนะใช้บริการฝึกอบรมนักขับ (Driver Training) และระบบขับขี่อีโค (Eco Mode) ที่ช่วยให้ประหยัดน้ำมันมากถึง 2 เปอร์เซ็นต์ หรืออย่างน้อย เฉลี่ย 20 -80 ลิตรต่อเที่ยวขึ้นอยู่กับสภาพของรถ

นายอำนาจ ทองทัย ผู้จัดการแผนกฝึกอบรมพนักงานขับรถ บริษัทสแกนเนีย สยาม จำกัด เปิดเผยว่า จากสภาวะปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะปัญหาน้ำมันที่มีราคาแพงอย่างต่อเนื่อง การฝึกอบรมนักขับ (Driver Training) จึงมีความสำคัญกับธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นธุรกิจขนส่งจึงต้องมีการฝึกอบรมให้คำแนะนำและมีการพัฒนาคนขับรถในเรื่องของการให้ความรู้ในการใช้รถ ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันต่าง ๆ ใช้ให้ถูกวิธี การขับรถอย่างไรให้ปลอดภัย รวมถึงการใช้รถที่ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง ซึ่งล้วนเป็นสิ่งสำคัญของธุรกิจขนส่ง

“การฝึกอบรมนักขับถือเป็นบริการหนึ่งของสแกนเนีย ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก เพื่อสนับสนุนลูกค้าพร้อมให้คำปรึกษา ให้ความรู้ในเรื่องของการการขับขี่ หากเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ได้ฝึกอบรมกับผู้ที่ไม่ได้ฝึกอบรม อาจทำให้เห็นถึงความแตกต่างด้านการประหยัดน้ำมัน และยังต่างกันในเรื่องของการสึกหรอของรถ รวมถึงลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ จึงเป็น Value หรือคุณค่าที่จะเน้นให้กับลูกค้าของเราเพื่อที่จะให้เห็นความสำคัญกับการฝึกอบรม”

นายอำนาจกล่าว นายอำนาจ กล่าวว่า การให้บริการ Driver Training ของสแกนเนียจะแบ่งบริการเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1. บริการทดสอบหรือทดลองขับ 2. ส่งมอบรถ 3. การฝึกอบรม 4. ที่ปรึกษาการขับขี่ (Driver Coaching) โดยสแกนเนียจะมีระบบ FMS (Fleet Management System) ที่จะคอยติดตามการใช้รถ หากติดปัญหาก็จะมีแผนกฝึกอบรมพนักงานขับคอยเป็นที่ปรึกษา ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

เริ่มจากบริการทดลองหรือทดสอบขับ มีขึ้นเพื่อพิสูจน์สมรรถนะ ความสามารถของรถสแกนเนียที่จะนำไปตอบโจทย์งานขนส่งลูกค้า เนื่องจากงานขนส่งในตลาดมีหลากหลายรูปแบบ หลากหลายเส้นทาง หลากหลายประเภทสินค้า เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจว่าจะการลงทุนกับสแกนเนียจะคุ้มค่า แผนกฝึกอบรมนักขับจึงมีมืออาชีพผู้เชี่ยวชาญที่จะพาท่านไปพิสูจน์การใช้งานจริงด้วยสินค้า และเส้นทางที่ท่านทำงานจริง

เมื่อทดสอบได้ผลที่พอใจ ลูกค้าที่ตัดสินใจเป็นเจ้าของสแกนเนีย ก็จะได้รับการส่งมอบรถโดยทีมงานมืออาชีพ ที่นอกจากจะส่งรถให้ลูกค้าถึงอย่างปลอดภัยแล้ว ยังแนะนำตัวรถพร้อมงานบริการครบวงจรที่สแกนเนียมีให้ลูกค้า ให้ลูกค้าสามารถใช้งานสแกนเนียได้เต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังมีคูปองสำหรับเจ้าของเพื่อส่งพนักงานขับเข้ารับการอบรมเพิ่มเติมทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติ พร้อมการสอบวัดผลให้ เพื่อแน่ใจว่า การขับขี่รถสแกนเนียจะมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และสะดวกสบาย

นอกจากนี้ สแกนเนียมีระบบที่เชื่อมกับตัวรถเพื่อวิเคราะห์การขับขี่ในรถทุกคัน ด้วยเทคโนโลยีนี้ทำให้สามารถวัดผล ประเมินการขับขี่ได้ ซึ่งแผนกฝึกอบรมนักขับสามารถร่วมกับลูกค้า ดูข้อมูลและนำมาวางแผนพัฒนาปรับปรุงงานขนส่งของลูกค้าในอนาคตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ โดยบริการนี้คือบริการที่ปรึกษาการขับขี่ (Driver Coaching) จะเห็นได้ว่าบริการจากแผนกฝึกอบรมนักขับ ครอบคลุมทั้งก่อนและหลังการขายทั้งปัจจุบันและอนาคตของธุรกิจขนส่ง เพื่อการขนส่งอย่างยั่งยืนในวันนี้ สู่อนาคตธุรกิจที่เหนือกว่า

นายอำนาจกล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างการฝึกอบรมนักขับรถ (Driver Training) กับระบบ Eco Mode ว่า จากปัจจุบันที่ราคาน้ำมันสูง สแกนเนียนำเสนอฟังก์ชันที่มีในรถสแกนเนียพร้อมให้ทุกคนประหยัดน้ำมันขึ้นง่าย ๆ เพียงใช้โหมดการขับขี่อีโค (Eco Mode) ที่ทุกท่านสามารถปรับเองได้ด้วยปลายนิ้วที่ก้านเกียร์ ร่วมกับระบบเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติออพติครูส จะทำให้รถประหยัดน้ำมันที่สุดมากถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเมื่อคิดเป็นค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจแล้ว สามารถประหยัดได้อย่างน้อย 20 -80 ลิตรต่อเที่ยว นอกจากนี้ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของเกียร์และเครื่องยนต์ด้วย จึงเป็นทางเลือกที่สแกนเนียมีนำเสนอในยุคราคาน้ำมันแพง และเมื่อกล่าวในเชิงความยั่งยืนแล้ว ยังเป็นการช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ หรือลดมลพิษทางอากาศอีกด้วย

สำหรับลูกค้าที่สนใจรถสแกนเนีย สามารถโทรศัพท์สอบถามสแกนเนียได้ที่ 02-017-9200 โดยสแกนเนีย ยังคงมุ่งมั่นเพื่อให้รถของลูกค้าพร้อมใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเพิ่มผลกำไรในธุรกิจขนส่งอย่างสูงสุด เพื่อการขนส่งที่ยั่งยืนในวันนี้ สู่อนาคตธุรกิจที่เหนือกว่า สนใจติดต่อตัวแทนจำหน่ายใกล้ท่านและสอบถามข้อมูลรถเพิ่มเติมที่ www.scania.com/th/th/home/products-and-services/trucks/trucks_showroom.html

หจก.โชควิกรานต์ มั่นใจเลือกใช้ MAN

รถหัวลาก MAN ทางเลือกที่คุ้มค่า หจก.โชควิกรานต์ มั่นใจเลือกใช้รถบรรทุก MAN TGS 33.400 ฤกษ์ดี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564 เวลา 11.00 น. K-MAN Auto Service ได้ทำการส่งมอบ รถ MAN จำนวน 6 คัน

โดยได้รับเกียรติจากทาง คุณมนัส โลหะวิทยวิกรานต์ กรรมการผู้จัดการ (คนกลาง) หจก.โชควิกรานต์ และคณะผู้บริหารของบริษัทร่วมรับมอบรถ ในนามของ บริษัท เค-แมน.ออโต้เซอร์วิส จำกัด และ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย ต้องขอขอบพระคุณที่ร่วมมาเป็นครอบครัวของ MAN สนใจรถหัวลาก MAN สามารถติดต่อ นัดหมาย เข้าทดลองขับ และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ โทร.062-354-4978 / 093-610-6262 Line id : kmangroup

ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็มเอส นวัตกรรมการก่อสร้าง

สำหรับการเป็นลูกค้าของสแกนเนียนั้น คุณมีนากล่าวว่า "พนักงานสามารถตอบคำถามที่อยากรู้ได้ครบถ้วน รอบด้าน ข้อมูลต่างๆ นั้นในระยะยาวสำคัญกับบริษัท เพราะต้องเตรียมการรองรับ งานบริการ งานอะไหล่ สแกนเนียมีความพร้อมให้กับลูกค้าสามารถไว้วางใจได้"...

เอ็มเอส นวัตกรรมการก่อสร้าง “ทำธุรกิจ เราต้องอ่านใจลูกค้าให้ขาด อ่านใจตลาดให้ขาด"
เส้นทางจากอำเภอหาดใหญ่ มุ่งหน้าสู่ปัตตานี ถนนก่อนเข้าสู่เมืองปัตตานี เลียบชายหาดขนานไปกับทะเลอยู่ช่วงหนึ่ง หมุดหมายของการเดินทางคือที่ตั้งของห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็มเอส นวัตกรรมการก่อสร้าง ความสำเร็จของห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็มเอส นวัตกรรมการก่อสร้าง ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย หากแต่เพราะการทำงานหนักอย่างจริงจัง ใช้ความรู้ความสามารถของผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร การพูดคุยกันเพียงชั่วโมงเศษๆ ไม่อาจเข้าใจทุกความเป็นมาเป็นไปของงานและชีวิตได้อย่างละเอียด แต่เราสามารถเข้าใจได้ว่าความสำเร็จนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

“ปัญญา” คือหนึ่งในอาวุธสำคัญ ที่จะนำพาชีวิตและธุรกิจไปในทิศทางที่ถูกต้อง
หญิงสาวที่นั่งสนทนาอยู่กับเรา เป็นทั้งผู้บริหารมหาวิทยาลัยปทุมธานี ศูนย์การศึกษาจังหวัดปัตตานี ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารของห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็มเอส นวัตกรรมการก่อสร้าง คุณมีนา สาหมัด จบการศึกษาทางด้านครู โดยส่วนตัวเป็นคนชอบศึกษาหาความรู้ เวลาจะลงมือทำอะไรก็ตามจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนั้นๆ อย่างแท้จริงก่อน ซึ่งเธอบอกว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ความเป็นคนใฝ่รู้ และลงมือทำนั้น คุณมีนาเล่าให้ฟังว่าเป็นมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก สนุกกับการทำกิจกรรม การได้ช่วยเหลือผู้อื่น ตอนทำงานเป็นครูก็ทำหน้าที่คอยดูแลเรียกร้องสิ่งต่างๆ ให้กับเพื่อนครูด้วยกัน เวลาต้องเดินทางขึ้นไปร่วมกิจกรรมทางวิชาการที่กรุงเทพฯ จะเป็นหัวหน้าทีม คอยดำเนินการในเรื่องต่างๆ อยู่เสมอ วันหนึ่งผู้ใหญ่เห็นแววจึงมีโอกาสได้ทำงานสำคัญๆ หลายอย่าง จนถึงการได้ร่วมเป็นส่วหนึ่งในการเปิดมหาวิทยาลัยปุมธานี วิทยาเขตปัตตานี (ดำเนินการสอนเกี่ยวกับเรื่องการศึกษา ครู) และกระจายสาขาจนครอบคลุมพื้นที่ห้าจังหวัด คือปัตตานี สงขลา สตูล ยะลา นราธิวาส ลาออกจากงานครูมาเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยฯ เต็มตัว จนเมื่องานทางด้านการศึกษาอยู่ตัว คุณมีนาจึงลงมือทำสิ่งที่อยากทำอย่างแท้จริงนั่นคือธุรกิจส่วนตัวของตนเองที่เกี่ยวกับกิจการการก่อสร้าง

หากมองย้อนกลับไปดูการเกิดขึ้นของ เอ็มเอส นวัตกรรมการก่อสร้าง จะเห็นได้ว่าธุรกิจนี้เริ่มจากศูนย์อย่างแท้จริง คุณมีนาบอกว่า ก่อนที่จะตัดสินใจทำนั้นตัวเองได้ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด ชนิดที่ว่าต้องรู้ทุกอย่างในสิ่งที่จะทำ จะลงทุน “เราต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะทำก่อน ต้องศึกษาตลาด สินค้าที่เราจะทำต้องมีตลาดรองรับก่อน เราจึงจะเริ่มลงทุน” "เห็นตลาด เห็นโอกาส ต้องไม่ปล่อยให้หลุดลอยไป" ทุกวันนี้หากจะพูดถึงแหล่งซื้อหาอิฐบล็อก เหล็ก อุปกรณ์ก่อสร้างในปัตตานี โดยเฉพาะกับตลาดอิฐบล็อกในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เอ็มเอส นวัตกรรมการก่อสร้าง จะเป็นชื่อแรกๆ ที่ลูกค้าจะนึกถึง ดั้งเดิมนั้นสามีของคุณมีนา ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับร้านจำหน่ายอุปกรณ์ก่อสร้างอยู่แล้ว เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณมีนาได้รับรู้ถึงความต้องการของตลาด มองเห็นความเป็นไปได้ของการขยับขยาย จากผู้ขายปลีก มาเป็นผู้ผลิต และขายส่งสินค้า พัฒนาให้ธุรกิจก้าวหน้าเติบโต สินค้าที่คุณมีนามองเห็นตลาด และเห็นอนาคตคือ อิฐบล็อก ที่ชาวบ้านทางภาคใต้แถบสามจังหวัดชายแดนนิยมใช้ในการก่อสร้างต่างๆ ตั้งแต่ต่อเติมซ่อมแซมบ้าน ไปจนถึงก่อสร้างอาคาร เมื่อมองเห็นโอกาส มองเห็นตลาด จึงเริ่มลงมือศึกษาข้อมูล พบว่าตลาดสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่มีผู้ผลิตอิฐชนิดนี้เลย ทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาดเป็นการนำมาจากนอกพื้นที่ จึงลงมือหาข้อมูลศึกษากระบวนการผลิตอิฐบล็อก เดินทางไปดูโรงงานผลิตที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ดูเรื่องเครื่องจักรที่จะใช้ในการผลิต ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันจากประเทศเกาหลี ที่คุณมีนาสนใจ สินค้าที่จะทำมีตลาดรองรับ

เมื่อเริ่มลงมือศึกษาทำการบ้านอย่างรอบด้าน ดูตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของสินค้า เข้าใจทุกรายละเอียด โดยใช้เวลาถึงสองปี จึงตัดสินใจลงมือทำ ตั้งเอ็มเอส นวัตกรรมการก่อสร้างขึ้น โดยสร้างโรงงาน สั่งซื้อเครื่องจักรที่จะใช้ในการผลิตอิฐเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาด ที่สำคัญคุณมีนาบอกว่า ในกระบวนการผลิตนั้นแม้ว่าจะสามารถทำในแบบต้นทุนถูกได้ แต่ก็ไม่ทำ ยอมที่จะลงทุนสูงหน่อยเพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพ เมื่อเดินเครื่องผลิต ส่งสินค้าเข้าสู่ตลาด เพียงแค่สองเดือนแรกได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี แม้ว่าตัวอิฐของทาง เอ็มเอสฯ จะมีราคาสูงกว่าอิฐที่ชาวบ้านทั่วไปผลิตก็ตาม การตั้งราคาให้สูงกว่าตลาดระดับชาวบ้าน เพราะไม่ต้องการไปแย่งตลาดดั้งเดิมที่เป็นรายเล็กๆ ที่มีอยู่แต่ดั้งเดิม ปัจจุบันเครื่องจักรที่มีอยู่เพียงเครื่องเดียวนั้น เริ่มมีกำลังการผลิตไม่พอกับความต้องการของตลาดแล้ว เนื่องด้วยคุณภาพที่ดี ราคาที่เหมาะสม จึงทำให้ได้รับความนิยมอย่างสูงจากตลาด เอ็มเอสฯ กำลังจะขยายตัวโรงงานเพื่อลงเครื่องจักรตัวที่สองรองรับตลาดที่เติบโตขึ้น

"เพิ่มความหลากหลายของสินค้า สำรวจความต้องการที่แท้จริงของตลาด"
คุณมีนา ยังเล่าให้ฟังถึงการเพิ่มเติมสินค้าตัวอื่นๆ เข้ามาสู่ตลาดด้วย หลังจากอิฐบล็อกประสบความสำเร็จ ซึ่งเมื่อได้ฟังรายละเอียดต่างๆ ทำให้มองเห็นนักการตลาดตัวจริงคนหนึ่ง ที่ทำตลาดอย่างมีกลยุทธ์ ศึกษาตลาด คู่แข่ง รวมทั้งสำรวจตัวเองด้วย ถัดจากอิฐบล็อก เอ็มเอสฯ ตัดสินใจเพิ่มสินค้าอีกหลายชนิดเข้ามาตอบสนองความต้องการทางการตลาด ทั้งปูน กระเบื้อง เหล็ก แม้ว่าสินค้าบางรายการภายหลังจะมีเจ้าใหญ่กว่าเข้ามาทำตลาด ซึ่งนอกจากจะเป็นสินค้าประเภทเดียวกัน ยังมีราคาถูกกว่า แต่คุณมีนาก็ไม่ท้อถอย ไม่อยู่นิ่งปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลง หาช่องทางที่จะทำให้ราคาสามารถแข่งขันกับเจ้าใหญ่ได้ นอกจากนั้นยังเปิดตลาดเพิ่มโดยขยายออกไปทำเหล็กที่มีราคาถูกกว่า คุณภาพต่ำลงหน่อย เพื่อไปจับตลาดล่างซึ่งเจ้าใหญ่ไม่สนใจควบคู่ไปด้วย เมื่อมีอุปสรรคเกิดขึ้น เป็นโจทย์ที่ท้าทาย ทำให้ทั้งคุณมีนาและทีมงานของเอ็มเอสฯ ได้ร่วมกันทำงานเป็นทีมแก้ไขปัญหา เมื่อบริหารจัดการได้ สิ่งที่เกิดขึ้นมิเพียงเจอช่องทางใหม่ๆ ในการทำตลาด ยังได้ข้อมูลทางการตลาดจำนวนมากเป็นองค์ความรู้ของเอ็มเอสฯ

"จัดการระบบขนส่งของตัวเอง เพื่อทำให้ต้นทุนสินค้าถูกลง เพิ่มเติมสินทรัพย์ให้กับบริษัท"
แรกเริ่มในการทำธุรกิจ การจัดหาวัตถุดิบ การนำส่งสินค้า ว่าจ้างระบบขนส่งจากภายนอกเข้ามาวิ่งงานให้ เหตุผลคืองานขนส่งเป็นงานที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน การว่าจ้างจะได้เห็นระบบ เห็นต้นทุน ได้เรียนรู้การบริหารจัดการ เมื่อใช้งานไปได้ในระดับหนึ่ง ด้วยการตรวจสอบ ตรวจเช็ค และศึกษาข้อมูลรอบด้าน ไม่เว้นแม้แต่การสอบถามพูดคุยกับคนขับรถ จนได้ข้อมูลต่างๆ มาเป็นข้อกำหนดในการตัดสินใจและการบริหารจัดการ เพื่อมีระบบขนส่งเป็นของตัวเอง ข้อสำคัญประการหนึ่งที่เด่นชัดคือ จำนวนว่าจ้างเที่ยววิ่งต่อเดือนนั้นสามารถผ่อนรถได้สบายๆ และยังเหลือเงินกลับมาเป็นทุนอีก ในระยะยาวรถยังเป็นสินทรัพย์เป็นต้นทุนของบริษัทอีกทางหนึ่ง ยังไม่รวมถึงเรื่องของการบริหารจัดการเที่ยวขนส่งที่สามารถควบคุมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เพราะเป็นของตัวเอง

เริ่มต้นจากออกรถมือสองเพื่อทดสอบ ทดลอง เก็บข้อมูล ขยับมาเป็นรถป้ายแดงแบรนด์ญี่ปุ่นวิ่งจัดส่งในขอบเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และท้ายที่สุดเมื่อมั่นใจกับระบบขนส่งของตัวเองแล้ว จึงออกรถหัวลากสแกนเนียเพื่อใช้ในการขนส่งสินค้า วัตถุดิบในการผลิต ระยะทางไกล ทุกการตัดสินใจมีข้อมูลรองรับผ่านการศึกษามารอบด้านอย่างแท้จริง เลือกแบรนด์ได้รับการยืนยันมีความน่าเชื่อถือมีความคุ้มค่า ขนส่งเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญประการหนึ่งในการทำธุรกิจ อาจจะกล่าวได้ว่าเติบโตช้า เร็ว สำเร็จ ล้มเหลว ส่วนหนึ่งอยู่ที่การบริหารจัดการเรื่องขนส่ง ทั้งส่งสินค้าให้ลูกค้า นำสินค้าวัตถุดิบป้อนเข้าสู่หน้าร้าน โรงงาน ถือเป็นรายละเอียดและขั้นตอนที่สำคัญมาก ต้นทุนในการขนส่งมีผลต่อราคาสินค้า การจะแข่งขันได้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบริหารจัดการรอบด้านอย่างแท้จริง เช่นที่คุณมีนาทำกับ เอ็มเอสฯ

"รถ คนขับ เครื่องมือสำคัญในการขนส่ง"
สำหรับการเป็นลูกค้าของสแกนเนียนั้น คุณมีนากล่าวว่า พนักงานขายสามารถตอบคำถามที่อยากรู้ได้ครบถ้วน รอบด้าน ข้อมูลต่างๆ นั้นในระยะยาวสำคัญกับบริษัท เพราะต้องเตรียมการรองรับ งานบริการ งานอะไหล่ สแกนเนียมีความพร้อมให้กับลูกค้าสามารถไว้วางใจได้ (เอ็มเอสฯ ซื้อสัญญาบริการกับสแกนเนีย ยกเรื่องที่ไม่มีความถนัดให้อยู่ใความดูแลของมืออาชีพ จะได้โฟกัสไปที่ธุรกิจโดยไม่ต้องมาพะวง) การทำการบ้าน ทั้งจากแหล่งข้อมูลที่เป็นตัวหนังสือ การพูดคุยกับผู้ที่เคยใช้งาน การได้ทดลองใช้งาน (สแกนเนียนำรถมาให้ทดสอบใช้งานขนสินค้าบนเส้นทางวิ่งจริง เพื่อดูอัตราสิ้นเปลืองของการใช้เชื้อเพลิง ลูกค้าได้รับข้อมูลจากพื้นฐานความเป็นจริงของการใช้งานของลูกค้า) ทำให้เห็นว่าลงทุนแล้วคุ้มค่า ซึ่งสำคัญ เพราะคุณมีนาบอกว่าในอนาคต เอ็มเอสฯ ยังจะต้องโตต่อไป การลงทุนทุกครั้งทุกเรื่องของเอ็มเอสฯ จึงต้องรอบครอบ ผ่านการศึกษาอย่างละเอียด ผ่านมาไม่กี่เดือนสแกนเนียทั้งสองคันของเอ็มเอสฯ ทำระยะทางใกล้แตะแสนกิโลเมตรแล้ว คนขับรถของเอ็มเอสฯ ยังมีส่วนช่วยในเรื่องการบริหารจัดการเรื่องรถด้วย ในการหาสินค้าเที่ยวขึ้น (ซึ่งคนขับรถจะได้ค่าแนะนำด้วย เป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจ คุณมีนากล่าวว่าเพราะเที่ยวขึ้นนั้นเราไม่มีต้นทุนอยู่แล้ว อย่างไรเสียรถก็ต้องวิ่งขึ้นไปรับวัตถุดิบ รับสินค้าอยู่แล้ว) ประสิทธิภาพและคุณภาพของรถ ทีมงานของสแกนเนีย เป็นความประทับใจที่คุณมีนาได้รับ แต่แน่นอนว่า ระยะทางพิสูจน์ม้าการเวลาพิสูจน์คน หนทางและระยะทางที่สแกนเนียจะพิสูจน์ให้เห็นนั้นยังอีกยาวไกล แต่บทสอบแรกดูเหมือนจะผ่านพ้นไปอย่างดีเพราะแผนในการซื้อเพิ่มได้วางไว้แล้ว อย่างที่คุณมีนากล่าว เอ็มเอส นวัตกรรมการก่อสร้าง ยังวางแผนที่จะเติบโตต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน

อยุธยา นฤมิตร ทัวร์

ผู้ประกอบการขานรับรถบัสสแกนเนีย ตอบโจทย์การแข่งขันปัจจุบันที่เหนือกว่า

ตลาดรถบัสท่องเที่ยวในประเทศไทยจะประสบปัญหาจากโควิดมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดการแข่งขันเข้มข้นในกลุ่มรถบัสรับส่งพนักงาน สแกนเนียนำเสนอโซลูชั่นตอบโจทย์ผู้ประกอบการขนส่งได้อย่างเหนือกว่า คุ้มค่าการลงทุน โดยล่าสุดส่งมอบรถบัสสแกนเนีย 13 คันมูลค่ากว่า 60 ล้านบาท รองรับธุรกิจขนส่งพนักงานโรงงาน

ด้านสแกนเนียเผยมั่นใจยอดขายปลายปีเพิ่ม หลังใช้กลยุทธ์พันธมิตรทางธุรกิจมัดใจลูกค้า นางสาวดวงใจ พงศ์ประเทืองสุข ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการงานขาย บริษัท สแกนเนีย สยาม จำกัดเปิดเผยว่า กลยุทธ์การตลาด และการขายรถบัสของสแกนเนียในปีนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการ หลังจากมีการปรับแผนให้ตรงกับความต้องการ และงานของลูกค้า ซึ่งจากสภาพตลาดปัจจุบันทำให้เน้นกลุ่มลูกค้าที่ทำธุรกิจรถบัสขนส่งพนักงานตามโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ เป็นหลัก โดยพนักงานฝ่ายขายของสแกนเนียไม่เพียงช่วยให้คำปรึกษา แต่ยังให้การประสานบริการที่ครบถ้วนอย่างดี เช่น บริการสัญญาซ่อมบำรุงรักษา บริการฝึกอบรมพนักงานขับที่ช่วยให้ขับรถได้อย่างปลอดภัย ประหยัดน้ำมัน รวมถึงยืดระยะเวลาการใช้งาน

นอกจากนี้ฝ่ายขายยังเป็นพันธมิตรสนับสนุนไปถึงการนำเสนองานร่วมกับลูกค้า ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินงานของธุรกิจขนส่ง “สแกนเนียมีนโยบาย “Sustainable Transportation” จะเป็นการเติบโตอย่างยั่งยืนในเรื่องของการขนส่ง และให้ลูกค้าเติบโต มั่งคั่ง ยั่งยืนไปพร้อม ๆ กัน เรามีไฟแนนซ์ช่วยให้ลูกค้าเป็นเจ้าของรถได้ง่ายขึ้นโดยสแกนเนียมีบริษัทสแกนเนีย สยาม ลีสซิ่ง (SSL) ทำการอนุมัติสินเชื่อ โดยมีความยืดหยุ่นสูงมาก สามารถตกลงเงื่อนไขที่หลากหลายให้เหมาะสมกับธุรกิจลูกค้าได้ เช่น ไม่ต้องวางเงินดาวน์ ระยะเวลาการผ่อนนานถึง 6 ปี ขอเอกสารหลักฐานน้อย ให้เครดิต 90 วัน วิ่งก่อนจ่ายทีหลัง เป็นต้น

นอกจากนั้นฝ่ายขายจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางงานบริการให้กับลูกค้า และเป็นร่วมเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมเดินทางไปกับลูกค้า สร้างความเชื่อมั่นในการใช้บริการอย่างยั่งยืน” นางสาวดวงใจกล่าว

ด้านนายเอนก นฤมิตร กรรมการผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด อยุธยานฤมิตร และเจ้าของรถบัสสแกนเนียจำนวน 13 คัน ล่าสุด กล่าวว่า หจก. อยุธยานฤมิตรเปิดให้บริการรถบัสขนส่งผู้โดยสารครั้งแรกเมื่อปี 2526 ปัจจุบันมีรถบัสโดยสารให้บริการ 100 กว่าคัน และรถตู้ 40 กว่าคัน ส่วนเหตุผลที่เลือกซื้อรถบัสสแกนเนียจำนวน 13 คันในวงเงินกว่า 60 ล้านบาทนั้น เนื่องจากสแกนเนียเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพ “รถบัสสแกนเนียคันแรกที่ใช้งานซื้อมานานกว่า 10 ปี จึงทำให้เห็นถึงความคุ้มค่า และประโยชน์สูงสุดในการทำธุรกิจ รวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น เรื่องของการประหยัดน้ำมันและค่าซ่อมบำรุงซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายหลักในธุรกิจ อะไหล่มีความสมบูรณ์ใช้งานได้นาน ราคาไม่แพง สมรรถนะเครื่องยนต์และช่วงล่างยอดเยี่ยม มีระบบความปลอดภัยมาตรฐานสูง ทำให้เรามีศักยภาพที่จะแข่งขันในตลาดลูกค้าระดับสูง มั่นใจมากในทุกสถานการณ์ และพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง ที่สำคัญสแกนเนียทำให้เราเปลี่ยนทัศนคติหันมาใช้รถห้างแทนรถจดประกอบ” นายอเนก เสริมเพื่อเป็นการยืนยันมาตรฐาน ทางหจก. อยุธยานฤมิตรได้รับใบประกาศรับรอง ISO 9001 (ระบบมาตรฐานบริหารงานคุณภาพระดับสากลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการคุณภาพในองค์กร) และ ISO39001 (ระบบการจัดการความปลอดภัยด้านจราจรทางถนน (Road Traffic Safety Management System : RTSMS) เพื่อให้องค์กรที่เกี่ยวข้องกับระบบการจราจรทางถนนลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นทั้งจากชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุการชนทางถนน) ซึ่งเจ้าหน้าที่ขายของสแกนเนีย ก็มีส่วนช่วยสนับสนุนในลักษณะของพันธมิตรทางธุรกิจ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอีกด้วย

ฮีโน่เปิดตัวรถใหม่ Hino 500 Victor MY21 เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการขนส่งต้อนรับการเปลี่ยนแปลง กับการใช้รถบรรทุกฮีโน่ ที่ยิ่งใช้ .... ยิ่งมั่นใจ ยังไงก็รวย !!!

ฮีโน่เปิดตัวรถใหม่ Hino 500 Victor MY21 เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการขนส่งต้อนรับการเปลี่ยนแปลง กับการใช้รถบรรทุกฮีโน่ ที่ยิ่งใช้ ยิ่งมั่นใจ ยังไงก็รวย

บริษัท ฮีโน่มอเตอร์สเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัวรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์รุ่นใหม่ “HINO 500 VICTOR MY21” ภายใต้แนวคิด “สวย ประหยัด ปลอดภัย คุ้มค่าทุกการลงทุน” ที่อยากให้ผู้ประกอบธุรกิจทุกท่านได้สัมผัสการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ พร้อมกับความมั่นใจ ที่ยิ่งใช้ ยิ่งมั่นใจ ยังไงก็รวย

HINO 500 VICTOR MY21 ดีไซน์ใหม่สวยในรูปแบบ Minimal โดดเด่นด้วยกระจังสีขาว เสริมด้วยความปลอดภัยเพิ่มเติมจากรถบรรทุกทั่วไป ทั้งไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์, กล้องหน้ารถบันทึกภาพในระหว่างขับขี่ รวมถึงความปลอดภัยของสุขภาพ กับการเปลี่ยนชุดกรองอากาศในรถป้องกันฝุ่น PM 2.5 และพิเศษสุดกับระบบจัดการขนส่งอัจฉริยะ Hino Connect พร้อมเครื่องรูดใบขับขี่ พิเศษ ฟรีค่าบริการตลอด 2 ปี (Air time fee ) พร้อมมั่นใจในคุณภาพกับการรับประกัน 5 ปีทุกรุ่น ไม่จำกัดระยะทาง ทุกอย่างนี้มีมาครบ จบ ใน HINO 500 VICTOR MY21 ประหยัดเวลาไม่ต้องติดตั้งเอง แค่ซื้อก็กำไรแล้ว

พบกับ HINO 500 VICTOR MY21 หลากหลายรุ่น ทั้ง 6 ล้อใหญ่ / 10ล้อเพลาเดียวและสองเพลา / 12 ล้อ และ รถบรรทุกกึ่งลากพ่วง และยังมีรุ่นใหม่ที่เปิดตัวในตระกูล HINO 500 VICTOR MY21 เพื่อตอบรับธุรกิจที่หลากหลายมากขึ้น ในปัจจุบันทั้ง GL8J รถหัวลาก 10 ล้อแบบยกเพลา สำหรับงานขนส่งหนักไป- เบากลับ, GV1A รถบรรทุก 12 ล้อ เพลาเดียว สำหรับงานขนส่งระยะยาว และ SY2P รถหัวลาก 12 ล้อ สำหรับธุรกิจขนส่งหิน ดิน ทราย และ เหมืองแร่ มั่นใจผู้ผลิต รายไหนไม่มี แต่ฮีโน่มี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และเวลาไปดัดแปลงเอง แค่เลือกรถที่ใช่ ก็กำไรอีกต่อแล้ว

พร้อมสัมผัส HINO 500 VICTOR MY21 กับแคมเปญสุดพิเศษ ดาวน์ 0 % หรือดอกเบี้ยพิเศษ ตั้งแต่วันนี้ - วันที่ 30 กันยายน 2564 นี้เท่านั้น สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ตัวแทนจำหน่ายรถบรรทุกฮีโน่ทั่วประเทศ หรือเลือกชมแบบ Virtual Showroom ได้ที่ www.hinothailand.com พร้อมเป็นครอบครัวฮีโน่ออนไลน์ ได้ที่ facebook : hinothailandfanclub, Line : @hinoth, Youtube : hinothailand official และ TikTok : @hinoth

อย่าลืมติดตามรับชมการถ่ายทอดสด The Launching New Model MY21 ผ่านทาง เฟชบุ๊คแฟนเพจ : hinothailandfanclub และ Youtube : Hinothailand official ในวันที่ 9 ก.ค. เวลา 19.00 น. เป็นต้นไป

เสียงสะท้อนของผู้ประกอบการไทยพร้อมเหตุผลที่เลือกใช้ SCANIA (สแกนเนีย)

เสียงสะท้อนของผู้ประกอบการไทยพร้อมเหตุผลที่เลือกใช้สแกนเนีย

35 ปี สแกนเนีย สยาม ในการทำตลาดประเทศไทย ผู้ประกอบการมั่นใจกับรถบรรทุกและรถโดยสารคุณภาพเยี่ยม ที่ตอบโจทย์ด้านผลกำไรให้ธุรกิจขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมบริการหลังการขาย ที่ให้ผู้ประกอบการแข่งขันในตลาดแบบไม่มีสะดุด (No room For Downtime) และในโอกาสพิเศษที่ สแกนเนีย สยาม ฉลองครบรอบ 35 ปีในประเทศไทย จึงได้มีการออกรถรุ่นพิเศษ “Yak Edition” เพื่อตอกย้ำแนวทางการขนส่งอย่างยั่งยืนในวันนี้ สู่อนาคตธุรกิจที่เหนือกว่า (Sustainable Transport – Now and Beyond) โดยรุ่นพิเศษนี้ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้า วันนี้เรามารับรู้หลากหลายเสียงสะท้อนของผู้ประกอบการที่เลือกซื้อ รถรุ่นพิเศษ “Yak Edition” และใช้รถบรรทุกสแกนเนียในการทำธุรกิจ

นายนัธทวัฒน์ วัดแผ่นลำ ผู้จัดการด้านการขนส่ง บริษัท ศ.ชวโรจน์ 888 จำกัด กล่าวว่า บริษัททำธุรกิจในการขนส่งน้ำมันจากภาคใต้ไปสู่จังหวัดในภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทำให้ต้องเลือกรถบรรทุกที่ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของขุมพลังและสมรรถนะของรถ รวมถึงระบบความปลอดภัยในการขนส่งและจากประสบการณ์ในการใช้งานรถสแกนเนียกว่า 10 ปี ทำให้มั่นใจที่จะเลือกรถสแกนเนีย เพราะประทับใจในทัศนวิสัย ความนุ่มสบายที่มาพร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม และระบบความปลอดภัยต่าง ๆ ที่สร้างความมั่นใจในทุกเส้นทาง อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันมากกว่าแบรนด์อื่น ๆ ที่เคยใช้ นอกจากนี้บริการหลังการขายยังมีระบบการแจ้งเตือนและนัดเข้าทำการบำรุงรักษา ลดเวลาในการรอเพิ่มเวลาในการทำงาน

“สำหรับรถรุ่นพิเศษ Yak Edition ที่ทางบริษัทฯ จัดซื้อไป 2 คัน ผมมีโอกาสได้ใช้ในงานขนส่งยิ่งสร้างความประทับใจอีก เพราะมีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) ที่ช่วยรักษาความเร็ว และระยะห่างรถคันหน้า ทำงานร่วมกับระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ (Advance Emergency Break) ได้จนถึงจุดหยุดนิ่ง ผมได้ทดสอบแล้วมากับตัว มันใช้งานได้ดีจริงๆ นอกจากปลอดภัยแล้ว ยังทำให้สามารถขับไกลได้โดยไม่เหนื่อยล้า และห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบาย สำหรับนักขับที่ต้องใช้ชีวิตอยู่บนรถนานๆ รถก็จะผ่อนคลาย เพราะสำหรับนักขับ รถก็เหมือนบ้านที่เดินทางไปด้วยกันทุกที่” นายนัธทวัฒน์ กล่าว

นายสมเอก น้อยสมจิตร กรรมการผู้จัดการหจก.สักทอง ทรานสปอร์ต กล่าวว่า สำหรับเขานั้นคนขับถือเป็นหัวใจหลักในธุรกิจขนส่ง การเลือกรถบรรทุกที่เพิ่มความสะดวกสบายให้คนขับจึงถือเป็นหัวใจสำคัญหลักในการทำธุรกิจด้านการขนส่งด้วยเช่นกัน โดยตลอดการให้บริการธุรกิจขนส่งมากว่า 10 ปี ทางบริษัทให้ความสำคัญในการเลือกรถที่มีความแข็งแกร่ง สมรรถนะที่ดีเยี่ยม ประหยัดน้ำมัน มีระบบความปลอดภัยในการขนส่ง รวมทั้งความสะดวกสบายในการขับเพื่อลดความเหนื่อยล้าให้กับผู้ขับ นี่คือสาเหตุที่ทำให้เลือกสแกนเนียในการทำธุรกิจ นอกจากนี้ภาพลักษณ์ของสแกนเนียยังช่วยสร้างความไว้ใจความเชื่อมั่น ทำให้ลูกค้าของบริษัทฯ เกิดความไว้วางใจ และมีความเชื่อมั่นว่าสินค้าจะได้รับความปลอดภัย สามารถนำส่งสินค้าได้ตามเป้าหมาย ตรงเวลาที่กำหนดไว้ เนื่องจากสินค้าที่บริษัทขนส่งเป็นประจำส่วนใหญ่เป็นวัตถุอันตราย เช่น เบอร์มิวรี่ คาร์บอน หรือสินค้าปนเปื้อน และสินค้าทั่วไป และส่วนใหญ่ขนส่งจากเส้นทางสายใต้ กรุงเทพฯ หาดใหญ่ -สงขลา จนถึงสัตหีบ ระยอง ระยะทางไป-กลับประมาณ 1,800 กว่ากิโลเมตร ซึ่งจะเกิดความผิดพลาดไม่ได้ ต้องส่งสินค้าให้ลูกค้าให้ปลอดภัย และตรงเวลาทุกครั้ง

“อีกความประทับใจของผมคือ บริการหลังการขาย เพราะสำหรับผมหากบริการหลังการขายไม่ดี มันไม่ตอบโจทย์ ทำให้เสียเวลาในการทำงานได้ ผมใช้บริการทีมงานที่ศูนย์บริการหาดใหญ่ ทำงานดี รวดเร็ว พร้อมทุกเวลาในการให้คำปรึกษาทุกเมื่อ ช่วยลดเรื่อง DOWN TIME เป็นเรื่องที่ดีมาก ของเราเข้าครั้งหนึ่งก็วิ่งต่อได้ยาวหลายหมื่นกิโลเมตร นอกจากนี้ Yak Edition ที่เลือกซื้อ ยังได้เงื่อนไขพิเศษ โดยฟรีค่าซ่อม 3 ปี* และฟรีค่าบำรุงรักษา 5 ปี* มีผลกับการตัดสินใจซื้อ เพราะไม่ต้องกังวลกับค่าใช้จ่ายอีกด้วย”

ด้านนายพรนรินทร์ ทรงราศรี กรรมการผู้จัดการบริษัทเอสเค ทรัค แอนด์ทรานสปอร์ต จำกัด กล่าวว่า โดยปกติบริษัทฯ จะให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เพื่อนำส่งให้กับโรงงานของลูกค้าในโซนตะวันออกเป็นหลัก โดยรถบรรทุกจะวิ่งจะอยู่ในช่วงระยะสั้นถึงระยะกลาง ประมาณ 300 กิโลเมตรต่อเที่ยว ซึ่งสิ่งที่ถูกใจในรถของสแกนเนีย คือ ความประหยัด ในด้านของการขับขี่ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ระบบช่วงล่างที่ให้ความรู้สึกนิ่มสบายกว่าแบรนด์อื่น และใน Yak Edition มีระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (Adaptive Cruise Control) ที่ปัจจุบันมีนำเสนอที่สแกนเนียเท่านั้น เรื่องของรอบการบำรุงรักษารถ มีการติดตามจากศูนย์บริการเป็นระยะ นอกจากนั้นอะไหล่ตัวไหนขาดก็สามารถสั่งได้ทันที

“รถสแกนเนียรุ่น Yak Edition ผมมองว่าลวดลายของยักษ์เป็นเสมือนยักษ์ท้าวเวสสุวรรณ ที่เป็นตัวแทนของความมั่งคั่งเรื่องการเงิน และปกป้องคุ้มครองให้ความรู้สึกปลอดภัย เสมือนมีสิ่งที่คอยปกป้องคุ้มครองรถอยู่ตลอดเวลา และในรถรุ่น Yak Edition นี้เป็นรถที่มีฟังก์ชันความสะดวกสบายต่าง ๆ ครบถ้วน ภายในหรูหราเหมือนกับรถสปอร์ตส่วนบุคคลชั้นนำเลยครับ” “นอกจากนี้ยังประทับใจในระบบบริการทางการเงินโดย สแกนเนีย สยาม ลีสซิ่ง ซึ่งมีบริการดีกว่าหลายบริษัทที่เคยผ่านมา ช่วยให้ผู้ประกอบการอย่างเราเป็นเจ้าของรถสแกนเนียได้สะดวกยิ่งขึ้น ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขกับสแกนเนียมากที่สุดครับ” กรรมการผู้จัดการบริษัทเอสเค ทรัคแอนด์ทรานสปอร์ต จำกัด กล่าวทิ้งท้าย

สนใจติดต่อตัวแทนจำหน่ายใกล้ท่านและสอบถามข้อมูลรถเพิ่มเติมที่ www.scania.com/th/th/home/products-and-services/trucks/trucks_showroom.html * หมายเหตุ 3 ปี หรือ 360,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน * หมายเหตุ 5 ปี หรือ 600,000 กิโลเมตร อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน สำหรับลูกค้าที่สนใจรถสแกนเนีย สามารถโทรศัพท์สอบถามสแกนเนียได้ที่ 02-017-9200 โดยสแกนเนีย ยังคงมุ่งมั่นเพื่อให้รถของลูกค้าพร้อมใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และเพิ่มผลกำไรในธุรกิจขนส่งอย่างสูงสุด เพื่อขับเคลื่อนสู่ระบบขนส่งที่ยั่งยืน “เพราะธุรกิจคุณ สำคัญที่สุด” สนใจติดต่อตัวแทนจำหน่ายใกล้ท่านและสอบถามข้อมูลรถเพิ่มเติมที่www.scania.com/th/th/home/products-and-services/trucks/trucks_showroom.html

เอ็ม เอ เอ็น ชูมาตรฐาน MAN Global Standard ที่ศูนย์บริการอย่างเป็นทางการ

เอ็ม เอ เอ็น ชูมาตรฐาน MAN Global Standard ที่ศูนย์บริการอย่างเป็นทางการ

พร้อมซ่อมบำรุงถึงที่ด้วยบริการ Onsite Service
เมื่อลูกค้าผู้ประกอบการได้นำรถออกจากโชว์รูมและนำไปใช้งานเพื่อสร้างธุรกิจแล้ว จำเป็นต้องมีการนำรถบรรทุกเข้าเช็คระยะเพื่อตรวจสภาพเป็นประจำเมื่อถึงครบกำหนด หรือต้องมีการเปลี่ยนอะไหล่เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมหรือเมื่อพบปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างการใช้งาน ซึ่งลูกค้าบางรายอาจเลือกนำรถเข้าศูนย์บริการทั่วไป หรือศูนย์บริการที่อยู่ในระยะใกล้ แทนการนำรถเข้าศูนย์บริการที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการ เนื่องจากกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างคนขับ ค่าน้ำมันในการนำรถเข้าตรวจสภาพ ค่าซ่อมแซมที่มีราคาสูง รวมถึงเสียโอกาสในการใช้รถบรรทุกเพื่อสร้างรายได้ธุรกิจ

อย่างไรก็ตามหลายครั้งที่ลูกค้าผู้ประกอบการต้องพบปัญหาที่ตามมาเมื่อไม่ได้นำรถเข้ารับบริการที่ศูนย์บริการที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการ

เนื่องจากรถบรรทุกไม่ได้รับการบำรุงหรือซ่อมแซมโดยช่างผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจในระบบหรือโครงสร้างของตัวรถอย่างแท้จริง หรือไม่ได้ใช้อะไหล่แท้ที่มีคุณภาพและการรับประกันที่ครอบคลุม ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อความต่อเนื่องในการใช้รถบรรทุกเพื่อทำธุรกิจเนื่องจากรถมีปัญหา เสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมสูงกว่าเดิม หรือสมรรถนะรถบรรทุกเสื่อมลงระยะยาว ในฐานะผู้นำนวัตกรรมด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำจากประเทศเยอรมนี เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย จึงอยากแบ่งปันประโยชน์หรือข้อดีที่ลูกค้าผู้ประกอบการจะได้รับเมื่อนำรถเข้าศูนย์บริการที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการที่พร้อมให้บริการลูกค้าแบบครบวงจรตามมาตรฐาน MAN Global Standard

ดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญผ่านการอบรมตามมาตรฐานสากล
เอ็ม เอ เอ็น ให้ความสำคัญในมาตรฐานคุณภาพการบริการของรถบรรทุกทุกคัน ซึ่งช่างเทคนิคที่ประจำศูนย์บริการที่เป็นตัวแทนอย่างเป็นทางการของเอ็ม เอ เอ็น ทุกคน ได้ผ่านหลักสูตรการฝึกอบรมตามมาตรฐานเยอรมัน สามารถให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพทั้งด้านการใช้งาน ระบบเทคโนโลยี และอะไหล่ต่างๆ ตามมาตรฐาน MAN Global Standard พร้อมดูแลรถบรรทุกของลูกค้าอย่างเชี่ยวชาญ ที่สำคัญคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของลูกค้าและความปลอดภัยของคนขับเป็นอันดับหนึ่งเสมอ

อะไหล่แท้นำเข้าจากเยอรมัน
นอกจากจุดเด่นของเอ็ม เอ เอ็น ที่ผลิตและนำเข้ารถบรรทุกทุกคันแบบ CBU 100% จากเยอรมันแล้ว อะไหล่ของรถบรรทุกทุกชิ้นที่ให้บริการลูกค้าที่ศูนย์บริการตัวแทนจำหน่ายเอ็ม เอ เอ็น ก็เป็นอะไหล่แท้นำเข้าจากเยอรมันทั้งหมด ซึ่งเอ็ม เอ เอ็น รับประกันในคุณภาพและอายุการใช้งานตามมาตรฐาน รวมถึงมีการรับประกันคุณภาพของอะไหล่ 2 ปี โดยไม่จำกัดระยะทางให้ลูกค้ามั่นใจและได้ใช้อะไหล่ที่มีคุณภาพ คุ้มค่าคุ้มราคา ไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาจุกจิกหรือการใช้งานในระยะยาว

ลูกค้าออกแบบและควบคุมค่าใช้จ่ายได้
ลูกค้ารถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็น สามารถเลือกและขยายขอบเขตการบริการและตรวจสอบได้ตามต้องการ ด้วยสัญญาบริการ ซึ่งจะช่วยลูกค้าผู้ประกอบการป้องกันความเสี่ยงและควบคุมค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถบรรทุกได้ รวมถึง เอ็ม เอ เอ็น ยังมอบ ฟรีสัญญาบริการบำรุงรักษา COMFORT เป็นระยะเวลา 3 ปี หรือ 300,000 กิโลเมตร ครอบคลุมการตรวจสอบ เชคสภาพอะไหล่ต่างๆ ให้กับลูกค้าทุกรายที่ออกรถ ดังนั้นลูกค้าผู้ประกอบการมั่นใจหมดห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย ตลอดระยะเวลาหรือระยะยางทางที่คุ้มครอง นอกจากนี้ เอ็ม เอ เอ็น ยังมอบบริการ Onsite Service ซ่อมบำรุงรักษาให้บริการถึงที่ทั่วประเทศไทย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ไม่ต้องเสียทั้งเวลา ค่าจ้างคนขับ และค่าน้ำมันในการขับรถไปซ่อมที่ศูนย์บริการ ซึ่งปกติผู้ประกอบการอาจต้องเสียโอกาสในการนำรถไปใช้งานและสร้างรายได้ทางธุรกิจอย่างน้อย 2-3 วัน หรือมีระยะทางเฉลี่ยไปกลับขั้นต่ำ 100 – 200 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาแต่ละครั้ง