Skip to main content

News in:  BM | TH | CN

เอ็ม เอ เอ็น ทรัคส์ แอนด์ บัส ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า

เอ็ม เอ เอ็น ทรัคส์ แอนด์ บัส ประเทศไทย ยังคงมุ่งมั่นที่จะก้าวไปข้างหน้า

เริ่มต้นเดือนแรกของปีเสือ 2022 เอ็ม เอ เอ็น ทรัคส์ แอนด์ บัส ประเทศไทย โดยคุณจักรพงษ์ ศานติรัตน์ ผู้อำนวยการ เอ็ม เอ เอ็น ทรัคส์ แอนด์ บัส ประเทศไทย กล่าวถึงผลการดำเนินการของ เอ็ม เอ เอ็น ในประเทศไทย กับปี 2021 ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นปีที่ท้าทายสำหรับแทบจะทุกธุรกิจ

เอ็ม เอ เอ็น ทรัคส์ แอนด์ บัส ประเทศไทย เริ่มต้นประกาศทำตลาดอย่างจริงจังในประเทศไทยเมื่อปี 2020 ซึ่งเป็นปีที่สถานการณ์โควิดส่งผลกระทบไปทั่วโลก ถึงกระนั้นก็ตามที การทำตลาดภายใต้บริษัทแม่โดยตรงจากเยอรมัน โดยเปิดตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการในรูปแบบของไพรเวทดีลเลอร์เจ้าแรกขึ้น คือ เค-แมน ออโต้ เซอร์วิส สามารถสร้างยอดขายได้เป็นอย่างดี

ต่อเนื่องมาในปี 2021 สถานการณ์โรคระบาดยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลง แต่เศรษฐกิจโลกดูเหมือนว่าจะสามารถกลับมาดำเนินการได้ การส่งออกของไทยกลับมาเติบโต ภาคการผลิตหลายส่วนสามารถกลับมาดำเนินการได้ กิจกรรมทางสังคมเริ่มกลับมาอีกครั้ง

เมื่อจบปี 2021 ภายใต้การทำการตลาดร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่าง เอ็ม เอ เอ็น ประเทศไทย กับตัวแทนจำหน่าย ทำให้สามารถปิดปี 2021 ด้วยอัตราการเติบโตที่น่าประทับใจ มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 17% ขยับจากปี 2021 ที่มีส่วนแบ่ง 9% ตลาดในภาคกลางและภาคใต้เติบโตได้ดี ในส่วนของภาคใต้มีการเปิดดีลเลอร์เพิ่มอีกหนึ่งแห่งคือ ริช แอนด์ เบสท์ วิฮีเคิล

รถเอ็ม เอ เอ็น ทั้งสองรุ่นที่ส่งเข้าสู่ตลาดคือ รุ่น 360 และ 440 ขับเคลื่อนในระบบ 6x2 สามารถตอบโจทย์การใช้งานของกลุ่มลูกค้าที่ซื้อไปใช้งานได้เป็นอย่างดี ในหมวดของการขนส่งหนักที่วิ่งระยะทางไกล ซึ่งผลตอบรับที่สะท้อนกลับมาคืออัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดี ไม่มีการเบรคดาวน์ของรถ สามารถ uptime ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

สิ่งที่ดำเนินการผ่านมาสองปีคือการเปิดราคารถที่สามารถแข่งขันในตลาดได้ งานบริการหลังการขายที่มีฟรีเซอร์วิสให้กับลูกค้าห้าปี การมีบริการโมบายเซอร์วิส On site ให้กับลูกค้า รวมไปถึงในเรื่องบริการทางด้านการเงินที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเป็นเจ้าของรถได้

ปี 2021 ที่ผ่านมา เอ็ม เอ เอ็น ทรัคส์ แอนด์ บัส ประเทศไทยสามารถกวาดยอดขายจนเกือบทะลุหนึ่งร้อยคัน (ยอดจดทะเบียน) ครองตลาดรถในกลุ่มยูโรเปี้ยน ทรัคส์ เป็นอันดับสาม

ปี 2022 ยังคาดการณ์ได้ยากว่าสถานการณ์โดยรวมจะเป็นอย่างไร ท่ามกลางปัจจัยแวดล้อมที่ท้าทายของทั้งโลกรวมทั้งปัจจัยภายในประเทศด้วย ทั้งในเรื่องของการผลิตรถที่อุตสาหกรรมยานยนต์ประสบปัญหาเรื่องชิฟ เรื่องของอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งราคานำ้มันที่ปรับตัวสูงขึ้นจากเศรษฐกิจโลกที่กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง

คุณจักรพงษ์ ศานติรัตน์ มองว่าในท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ เหล่านี้ เอ็ม เอ เอ็น ประเทศไทยยังเชื่อมั่นว่า จะยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการทำงานอย่างเป็นระบบ ทั้งในส่วนของเอ็ม เอ เอ็น ประเทศไทย และ การทำงานร่วมกันกับดีลเลอร์ของ เอ็ม เอ เอ็น ทั้งสองรายอย่างใกล้ชิด รวมไปถึงการเปิดกว้างสำหรับผู้ที่สนใจจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว เอ็ม เอ เอ็น โดย เอ็ม เอ เอ็น ประเทศไทยมองจุดที่ตั้งสำคัญไว้ที่ทางภาคอีสานและภาคเหนือ (นครราชสีมาและเชียงใหม่) ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามไปที่ เอ็ม เอ เอ็น ทรัคส์ แอนด์ บัส ประเทศไทยได้

ปี 2022 เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ยังคงไม่สามารถที่จะบอกกล่าวอะไรได้อย่างชัดเจน ทว่าเมื่อมองย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเอ็ม เอ เอ็น ในปี 2020 ต่อเนื่องจนจบปี 2021 การดำเนินการอย่างมีทิศทาง การมีสินค้าที่ดีอยู่ในมือ การทำงานร่วมกันเป็นทีมระหว่างเอ็ม เอ เอ็น ทรัคส์ แอนด์ บัส ประเทศไทยกับดีลเลอร์ มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน ทำให้เป้าหมายที่คุณจักรพงษ์ ศานติรัตน์ ผู้อำนวยการ เอ็ม เอ เอ็น ทรัคส์ แอนด์ บัส ประเทศไทย วางไว้คือทะลุร้อยคันนั้นไม่ใ่ชเรื่องที่ยากเกินไป

เอ็ม เอ เอ็น บุกตลาดภาคใต้

เอ็ม เอ เอ็น บุกตลาดภาคใต้


เอ็ม เอ เอ็น บุกตลาดภาคใต้ ลงนามความร่วมมือเปิดตัวดีลเลอร์ประจำภาคใต้เจ้าแรกในประเทศไทย เพิ่มประสิทธิภาพการเข้าถึงและบริการที่ครอบคลุมให้แก่ลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้ และจังหวัดใกล้เคียง

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย 16 มีนาคม 2563 : เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย ผู้นำนวัตกรรมด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำจากประเทศเยอรมนี เซ็นสัญญาลงนามความร่วมมือกับ บริษัท ริช แอนด์ เบสท์ วีฮิเคิล จำกัด ในการเป็นผู้แทนจำหน่ายและให้บริการดูแลหลังการขายรถบรรทุกและรถบัสเอ็ม เอ เอ็น ในพื้นที่ภาคใต้ เพื่อขยายการให้บริการที่ครอบคลุมโดยเฉพาะลูกค้าที่อยู่ในจังหวัดทางภาคใต้มากยิ่งขึ้น โดยโชว์รูมและศูนย์บริการตั้งอยู่บริเวณจุดเชื่อมระหว่างจังหวัดพัทลุงและจังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการเดินทางสู่จังหวัดอื่นๆในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างอีกด้วย

ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในแผนการเติบโตทางธุรกิจของเอ็ม เอ เอ็น ที่มุ่งเร่งขยายเครือข่ายดีลเลอร์ในประเทศไทยไปยังภาคต่างๆ ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ประกอบการของเอ็ม เอ เอ็น ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปีที่ผ่านมา จากความเชื่อมั่นในคุณภาพเหนือระดับของรถบรรทุกที่ผลิตและนำเข้าทั้งคันจากประเทศเยอรมนี รวมถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อประโยชน์สูงสุดของลูกค้าผู้ประกอบการรวมถึงผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น สมรรถนะ ความประหยัดน้ำมัน ความปลอดภัยและสะดวกสบาย เหมาะกับการขับระยะไกล รวมถึงบริการหลังการขายที่พร้อมเข้าไปให้บริการถึงที่โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

คุณจักรพงษ์ ศานติรัตน์ ผู้อำนวยการ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์คนสำคัญอย่าง บริษัท ริช แอนด์ เบสท์ วีฮิเคิล จำกัด ผู้เชียวชาญที่ให้บริการด้านรถบรรทุก รถบัส ในพื้นที่ภาคใต้มาอย่างยาวนาน รวมถึงมีเครือข่ายลูกค้าที่เข้มแข็ง ซึ่งเรามั่นใจว่าการจับมือกับ บริษัท ริช แอนด์ เบสท์ วีฮิเคิล ในครั้งนี้จะมีส่วนสำคัญในการยกระดับบริการของเอ็ม เอ เอ็นให้ครอบคลุมและเข้าถึงลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงส่งเสริมการเติบโตของเอ็ม เอ เอ็น ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งก้าวของความความสำเร็จที่เราภูมิใจในปีนี้”

คุณณพิชญ์ จันทร์มา (กรรมการผู้จัดการ) บริษัท ริช แอนด์ เบสท์ วีฮิเคิล จำกัด กล่าวเสริมถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า “เรารู้สึกตื่นเต้นและยินดีที่ได้จับมือกับแบรนด์รถบรรทุกและรถบัสชั้นนำคุณภาพสูงจากเยอรมนีอย่างเอ็ม เอ เอ็น โดยเราได้มีโอกาสเดินทางไปดูโรงงานผลิตของเอ็ม เอ เอ็นที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งสิ่งที่เรารู้สึกประทับใจและสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ เอ็ม เอ เอ็น อย่างยิ่ง คือ คุณภาพการผลิตและความใส่ใจในบริการหลังการขาย โดยรถบรรทุกของเอ็ม เอ เอ็น ทุกคันใช้วิธีผลิต ประกอบและนำเข้ารถทั้งคัน 100% จากประเทศเยอรมนี นอกจากนี้แบรนด์ยังมีบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการรับประกันและบริการซ่อมและชิ้นส่วนอะไหล่ ซึ่งลูกค้าของเราที่ได้สัมผัสและใช้งานรถของเอ็ม เอ เอ็น ต่างก็ชื่นชอบและให้การตอบรับเป็นอย่างดี โดยเรามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและเป็นตัวแทนสำคัญของเอ็ม เอ เอ็น ในการจัดจำหน่ายและให้บริการระดับมาตรฐานยุโรปเพื่อดูแลลูกค้าในพื้นที่ภาคใต้ต่อไป”

ปัจจุบันบริษัท ริช แอนด์ เบสท์ วิฮีเคิล จำกัด ถือเป็นดีลเลอร์รายที่สองที่เซ็นสัญญาร่วมกับเอ็ม เอ เอ็น ต่อเนื่องจากความร่วมมือมาอย่างยาวนานกับพาร์ทเนอร์คนสำคัญอย่าง บริษัท เค-แมน.ออโต้เซอร์วิส จำกัด โดยเอ็ม เอ เอ็นยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดจำหน่ายรถบรรทุกมาตรฐานยุโรป ไปพร้อมๆ กับการมอบบริการหลังการขายแบบครบวงจร ให้แก่ลูกค้าผู้ประกอบการทั่วทุกภาคของประเทศไทย และมีแผนขยายเครือข่ายดีลเลอร์ไปยังภาคอื่นๆเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้เอ็ม เอ เอ็น และตลาดรถบรรทุกในประเทศไทย 

เอ็ม เอ เอ็น มอบบริการ Onsite Service อำนวยความสะดวกซ่อมบำรุงถึงที่

เอ็ม เอ เอ็น มอบบริการ Onsite Service อำนวยความสะดวกซ่อมบำรุงถึงที่

ผู้ใช้รถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็น หมดห่วงเรื่องการเดินทางมาซ่อมบำรุงแม้ช่วงโควิด เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย ผู้นำนวัตกรรมด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำจากประเทศเยอรมนี อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าผู้ประกอบการที่เลือกใช้รถบรรทุกของเอ็ม เอ เอ็น ด้วยบริการ Onsite Service ซ่อมบำรุงรักษาให้บริการถึงที่ทั่วประเทศไทย โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ช่วยลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางเข้าซ่อมบำรุงแต่ละครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดที่ทำให้มีข้อจำกัดในการนำรถบรรทุกเข้ามาซ่อมบำรุงที่ศูนย์บริการ

เอ็ม เอ เอ็น เล็งเห็นปัญหาที่ผู้ประกอบการต้องเผชิญในการบำรุงรักษา และเช็คสภาพรถบรรทุกที่ใช้ในกิจการให้อยู่ในสภาพดีพร้อมใช้งานเสมอ เมื่อครบกำหนดหรือถึงเวลาที่ต้องซ่อมบำรุงรักษารถบรรทุก จะมีค่าใช้จ่ายต่างๆในการเดินทางมาที่ศูนย์บริการ ตั้งแต่ค่าจ้างคนขับ ค่าน้ำมัน และเวลาที่ใช้ในการเดินทางไปกลับ รวมถึงระยะเวลาที่รถต้องอยู่ที่ศูนย์ซ่อมทำให้เกิดค่าเสียโอกาสในการสร้างรายได้จากการใช้งานรถบรรทุก

เอ็ม เอ เอ็น จึงพัฒนาบริการ Onsite Service ขึ้นมาเพื่อลดระยะเวลา และค่าใช้จ่าย รวมถึงอำนวยความสะดวกให้เจ้าของรถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็นทั่วประเทศไทย เมื่อรถบรรทุกถึงกำหนดซ่อมบำรุงทุกๆระยะ 50,000 กิโลเมตร ลูกค้าผู้ประกอบการสามารถติดต่อศูนย์บริการที่สะดวก เพียงแจ้งเลข VIN ของรถและวัตถุประสงค์ในการเข้ารับบริการเพื่อทำการนัดหมายล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์

โดยปัจจุบันผู้แทนศูนย์บริการอย่างเป็นทางการของเอ็ม เอ เอ็น ได้แก่ เค แมน ออโต้ เซอร์วิส และ ริชแอนด์เบส เวฮิเคิล ที่พร้อมให้บริการ Onsite Service ซ่อมบำรุงรักษาถึงที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย คุณจักรพงษ์ ศานติรัตน์ ผู้อำนวยการ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย กล่าวว่า “เราต้องการสร้างความมั่นใจให้กับเจ้าของรถเอ็ม เอ เอ็นทุกท่านว่าจะได้รับการดูแลหลังการขายอย่างดีเยี่ยม นอกเหนือจากคุณภาพรถมาตรฐานยุโรปของเอ็ม เอ เอ็น ที่หลายคนให้ความไว้วางใจว่าแข็งแรง ทนทาน บริการหลังการขาย เป็นสิ่งที่เอ็ม เอ เอ็นใส่ใจและให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เราจึงพัฒนาบริการ Onsite Service ขึ้นมาเพื่อช่วยลดตุ้นทุนและอำนวยความสะดวกด้วยการเข้าไปให้บริการถึงที่ ซึ่งบริการดังกล่าวได้รับผลตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากลูกค้าเอ็ม เอ เอ็นของเรา”

นอกจากบริการ Onsite Service แล้ว เอ็ม เอ เอ็นยังเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ประกอบการในด้านการดูแลหลังการขายอื่นๆที่ครอบคลุมอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น ฟรีสัญญาบริการบำรุงรักษา COMFORT เป็นระยะเวลา 3 ปี หรือ 300,000 กิโลเมตร และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 24 เดือนไม่จำกัดระยะทาง นอกจากนี้ยังได้รับความคุ้มค่าจากมาตรฐานรถยุโรปของเอ็ม เอ เอ็น ที่ประกอบและนำเข้าทั้งคัน 100% จากประเทศเยอรมนี ขับขี่สบายและเป็นมิตรกับคนขับ ที่สำคัญประหยัดน้ำมันเหมาะกับการวิ่งระยะไกล

เอ็ม เอ เอ็น เติบโตมาแรงสวนกระแสโควิด พร้อมเดินหน้าลุยสู่เป้าหมายยอดขาย 100 คันในปี 2564

เอ็ม เอ เอ็น เติบโตมาแรงสวนกระแสโควิด พร้อมเดินหน้าลุยสู่เป้าหมายยอดขาย 100 คันในปี 2564

เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย ผู้นำนวัตกรรมด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำจากประเทศเยอรมนี เอ็น เผยความสำเร็จของแบรนด์ในการขยายตลาดรวมถึงยอดขายรถบรรทุกในประเทศไทยที่เติบโตขึ้นกว่า 81% ในช่วงครึ่งปีแรกของ 2564 แม้เกิดวิฤตโควิด-19 โดยที่ผ่านมา เอ็ม เอ เอ็น ได้รับกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องจากลูกค้าผู้ประกอบการไทยหลังจากเปิดตัวรถบรรทุกหัวลากเรือธงทั้ง 3 รุ่น รุ่น TGS 6×4 360 แรงม้า TGS 6×4 400 แรงม้า และ TGS 6x4 440 แรงม้า พร้อมเผยเป้าหมายสร้างยอดขาย 100 คัน ภายในปี 2564 และแผนดำเนินการธุรกิจที่มุ่งมอบบริการหลังการขายแบบครบครันด้วยมาตรฐานระดับโลก เร่งเดินหน้าขยายโชว์รูมและศูนย์บริการทั่วประเทศไทย เพื่อส่งเสริมธุรกิจของผู้ประกอบการและรองรับอนาคตการเติบโตของ เอ็ม เอ เอ็น และตลาดรถบรรทุกในประเทศไทย

เอ็ม เอ เอ็นได้เข้ามาตีตลาดในประเทศไทยและส่งมอบรถบรรทุกสัญชาติเยอรมันให้กับผู้ประกอบการไทยครั้งแรกในปี 2550 ซึ่งเอ็ม เอ เอ็นได้เดินหน้าสร้างธุรกิจและขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในช่วงต้นปี 2564 นี้ เอ็ม เอ เอ็นเติบโตและประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันเอ็ม เอ เอ็น มีส่วนแบ่งทางการตลาดรถบรรทุกยุโรปในประเทศไทยกว่า 21% นอกจากนี้ เอ็ม เอ เอ็น ได้สร้างช่องทางในการอัพเดทข่าวสารและสื่อสารกับลูกค้าและคนรักรถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็นอย่างต่อเนื่อง ผ่านเพจเฟซบุ๊ก MAN Truck & Bus Thailand จนปัจจุบันมีจำนวนผู้ติดตามกว่าหมื่นคน รวมถึงมีช่องทางสื่อสารอื่นๆ ได้แก่ เว็บไซต์, YouTube และ อินสตาแกรม

ในเดือนมีนาคมที่ผ่าน เอ็ม เอ เอ็น ได้นำรถบรรทุกเรือธงทั้ง 3 รุ่นที่เปิดตัวในประเทศไทย ร่วมจัดแสดงในงาน BUS & TRUCK ’21 งานแสดงรถใหญ่เพื่อการพาณิชย์และกิจการพิเศษระดับภูมิภาคอาเซียนเป็นครั้งแรก และได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการในวงการขนส่งและโลจิสติกส์ทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งเอ็ม เอ เอ็น ได้ร่วมกับดีลเลอร์ภาคกลางและภาคใต้ทยอยส่งมอบรถให้กับลูกค้าประกอบการแล้วกว่า 50 คัน และยังเตรียมทำการส่งมอบให้กับลูกค้ารายอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความนิยมในรถบรรทุกแบรนด์ยุโรปที่เพิ่มสูงขึ้นและเสริมความมั่นใจว่าธุรกิจภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมีทิศทางเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“เอ็ม เอ เอ็น รู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการส่งเสริมธุรกิจของผู้ประกอบการในประเทศไทยตลอดที่ผ่านมา รวมถึงขอบคุณผู้ประกอบการและคนขับทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในแบรนด์ เอ็ม เอ เอ็น ความสำเร็จด้านผลการดำเนินงานและผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าผู้ประกอบการได้พิสูจน์ให้เห็นว่ามาตรฐานการผลิตและเทคโนโลยีที่เอ็ม เอ เอ็น ตั้งใจคิดค้นและพัฒนาสามารถตอบโจทย์การใช้งานเพื่อส่งเสริมการทำธุรกิจของลูกค้าประกอบการไทย และเอ็ม เอ เอ็น ยังคงมุ่งมั่นส่งมอบรถบรรทุกมาตรฐานยุโรป พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญด้านบริการหลังการขายครบวงจร รวมถึงใส่ใจความสะดวกและความปลอดภัยของผู้ขับขี่ให้สามารถขับรถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็นบนท้องถนนได้อย่างมั่นใจ” คุณจักรพงษ์ ศานติรัตน์ ผู้อำนวยการ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย กล่าว

สำหรับลูกค้าและผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลและทดลองขับรถบรรทุกเอ็ม เอ เอ็น ก่อนตัดสินใจซื้อได้ที่ศูนย์บริการ ซึ่งปัจจุบัน เอ็ม เอ เอ็น มอบบริการดูแลหลังการขายแบบครบวงจรให้แก่ลูกค้าด้วยบริการ Onsite Service ซ่อมบำรุงรักษาให้บริการถึงที่ทั่วประเทศไทยโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม รวมถึงบริการหลังการขายอื่นๆที่ครอบคลุมต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น ฟรีสัญญาบริการบำรุงรักษา COMFORT เป็นระยะเวลา 3 ปี หรือ 300,000 กิโลเมตร และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ตลอด 24 ชั่วโมง เป็นระยะเวลา 24 เดือนไม่จำกัดระยะทาง

เอ็ม เอ เอ็น เปิดรับดีลเลอร์ จังหวัดขอนแก่น นครราชสีมา

เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย ผู้นำนวัตกรรมด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำจากประเทศเยอรมนี เริ่มเปิดรับสมัครดีลเลอร์พื้นที่จังหวัดขอนแก่นและนครราชสีมา ในฐานะผู้แทนจำหน่ายและให้บริการดูแลหลังการขายรถบรรทุกและรถบัสเอ็ม เอ เอ็น ประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตามแผนการขยายโชว์รูมและศูนย์บริการในพื้นที่จังหวัดสำคัญของทุกภูมิภาคทั่วไทยเพื่อมอบบริการที่ครอบคลุมให้แก่ลูกค้าและผู้ประกอบการทั่วประเทศ รวมถึงรองรับอนาคตการเติบโตของ เอ็ม เอ เอ็น และตลาดรถบรรทุกในประเทศไทย

“ในปีที่ผ่านมา เอ็ม เอ เอ็น ได้เปิดตัวรถบรรทุกหัวลากเรือธง TGS ทั้งหมด 3 รุ่น ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีมาก ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นกับศักยภาพของตลาดรถบรรทุกไทยและมองเห็นโอกาสในการเติบโตของเอ็ม เอ เอ็น ในปีนี้ เราจึงกำลังเร่งขยายเครือข่ายดีลเลอร์เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจและมอบบริการที่ครอบคลุมให้แก่ลูกค้าของเรา โดยการเปิดรับสมัครดีลเลอร์ประจำภาคอีสานนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญในการเติบโตของเอ็ม เอ เอ็น ประเทศไทย ซึ่งเรามีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับผู้ที่จะมาเป็นพาร์ทเนอร์ในอนาคตที่จะมาร่วมส่งเสริมการเติบโตของ เอ็ม เอ เอ็น และยกระดับศักยภาพของตลาดรถบรรทุกไทยไปด้วยกัน” คุณจักรพงษ์ ศานติรัตน์ ผู้อำนวยการ เอ็ม เอ เอ็น ทรัค แอนด์ บัส ประเทศไทย กล่าว

โดยที่ผ่านมา เอ็ม เอ เอ็น ได้เซ็นสัญญาลงนามความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์คนสำคัญประจำภาคกลางอย่าง บริษัท เค-แมน.ออโต้เซอร์วิส จำกัด และ ได้ขยายเครือข่ายดีลเลอร์อย่างต่อเนื่องด้วยการเซ็นสัญญาร่วมกับ บริษัท ริช แอนด์ เบสท์ วิฮีเคิล จำกัด ดีลเลอร์รายใหญ่ประจำภาคใต้ ในการเป็นผู้แทนจำหน่ายและให้บริการหลังการขายแก่ลูกค้าที่อยู่ในจังหวัดทางภาคใต้และจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งเอ็ม เอ เอ็นยังคงเติบโตและเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากจะกำลังเปิดรับสมัครดีลเลอร์ประจำภาคอีสานแล้ว เอ็ม เอ เอ็นยังมีแผนเปิดรับดีลเนอร์ประจำภาคเหนือในอนาคตอันใกล้อีกด้วย

เอ็ม เอ เอ็น แบรนด์รถบรรทุกจากเยอรมันสู่ผู้นำด้านสมรรถนะและเทคโนโลยีเพื่อวงการขนส่งไทย

เอ็ม เอ เอ็น แบรนด์รถบรรทุกจากเยอรมันสู่ผู้นำด้านสมรรถนะและเทคโนโลยีเพื่อวงการขนส่งไทย

เอ็ม เอ เอ็น ผู้นำนวัตกรรมด้านยานยนต์เพื่อการพาณิชย์ชั้นนำของโลกจากประเทศเยอรมนี ที่ได้ก้าวสู่การเป็นแบรนด์รถบรรทุกอันดับหนึ่งด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์ เน้นความทนทานและการประหยัดน้ำมัน

โดยรถบรรทุกทุกรุ่นของ เอ็ม เอ เอ็น ถูกออกแบบและพัฒนาด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ จนได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการในวงการขนส่งทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย การันตีความสำเร็จด้วยรางวัลด้านดีไซน์และเครื่องยนต์ ไม่ว่าจะเป็น รางวัล “International Truck of the Year” และ “iF Design award”

เอ็ม เอ เอ็นได้เข้ามาตีตลาดในประเทศไทยและส่งมอบรถบรรทุกสัญชาติเยอรมันให้กับผู้ประกอบการไทยครั้งแรกในปี 2550 โดยปัจจุบัน เอ็ม เอ เอ็น ได้เปิดตัวรถบรรทุกเรือธงทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ TGS 6x4 360 แรงม้า TGS 6x4 400 แรงม้า และ TGS 6x4 440 แรงม้า ซึ่งมีจุดเด่นทั้งด้านสมรรถนะและฟังก์ชั่นที่มุ่งเน้นการมอบประสิทธิภาพและความคุ้มค่าสูงสุดแก่ผู้ประกอบการ ทำให้รถบรรทุก เอ็ม เอ เอ็น ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ประกอบการไทยมากมายอย่างต่อเนื่อง และเป็นที่รู้จักในฐานะแบรนด์รถบรรทุกคุณภาพเยี่ยม จนกลายมาเป็นโซลูชั่นด้านการขนส่งของวงกางผู้ประกอบการไทย ทนทานแข็งแกร่งเหนือใคร รถบรรทุกทุกคันของเอ็ม เอ เอ็น นำเข้าแบบ CBU 100% จากเยอรมนี ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะประเทศผู้นำด้านการผลิตยานยนต์ของโลก

ชิ้นส่วนอะไหล่ของรถบรรทุกของ เอ็ม เอ เอ็น ผ่านการใส่ใจในการเลือกวัสดุ และผ่านขั้นตอนการผลิตและประกอบชิ้นส่วนด้วยเทคโนโลยีที่รับประกันด้านความทนทาน ป้องกันการเสื่อมสภาพและการเกิดสนิมของชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ รถบรรทุกของเอ็ม เอ เอ็น ได้รับการการันตีว่ามีอายุการใช้งานยาวนานกว่า 10 ปี เพราะนอกจากวัสดุต่างๆจะแข็งแรงทนทานแล้ว ผู้ใช้งานยังสามารถดูแลด้วยตนเองได้ง่าย เพื่อยืดอายุของรถบรรทุกทั้งตัวรถและอะไหล่ให้ทรงประสิทธิภาพตลอดการใช้งาน มาตรฐานความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อคนขับ ความปลอดภัย ถือเป็นหัวใจสำคัญของ เอ็ม เอ เอ็น

แบรนด์ได้นำนวัตกรรมที่ออกแบบด้วยเทคโนโลยีพิเศษที่ช่วยในการป้องกันอุบัติเหตุและรองรับการขับขี่บนทุกสภาพผิวถนน เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ขับขี่ ระบบ MAN BrakeMatic ระบบล้อเบรกลมล้วน ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (EBS) แบบดิสค์เบรคทั้งด้านหน้าและล้านหลัง ติดตั้งมาพร้อมกับระบบป้องกันล้อล็อกอัตโนมัติ (ABS) ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเบรกรถได้อย่างแม่นยำทันทีที่สั่งการ ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ระบบ Electronic Brake Assitance (EBA) ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ ที่ช่วยประมวลผลระยะห่างของสิ่งกีดขวางหน้าตัวรถ และสามารถตอบสนองได้อย่างฉับไวหากมีรถวิ่งตัดหน้าหรือเบรกกะทันหัน โดยระบบจะทำการแจ้งเตือนในรูปแบบเสียง และแสดงไฟสัญญาณบนหน้าปัด พร้อมสั่งการให้รถเบรกอัตโนมัติหากประมวลว่ามีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุสูง ระบบเบรกเครื่องยนต์ มาพร้อมเบรกวาล์วไอเสีย EVB (Exhausted Valve Brakes) ช่วยลดความเร็วของรถบรรทุกในขณะวิ่งหรือเข้าโค้งได้มากถึง 60% เมื่อเทียบกับรถบรรทุกอื่นที่มีขนาดเดียวกัน ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของผ้าเบรกและเพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่บนท้องถนน ระบบ MAN Easy Start อุปกรณ์มาตรฐานที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการออกตัวบนทางลาดชัน กรณีที่รถบรรทุกจำเป็นต้องหยุดรถ-ออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน โดยเฉพาะหากบรรทุกสินค้าที่มีน้ำหนักมาก

นอกจากฟังก์ชั่นต่างๆที่ออกแบบให้ผู้ชับขี่สามารถขับรถบรรทุกได้อย่างสะดวกสบาย ปลอดภัยแล้ว เอ็ม เอ เอ็น ยังได้สร้างพื้นที่ภายในหัวรถให้มีขนาดกว้างมากขึ้น โดยหัวรถบรรทุก เอ็ม เอ เอ็น จะเป็นหัวเก๋งที่มีลักษณะเป็นทรง L และ LX หรือหลังคาสูง แต่มีน้ำหนักเบา มาพร้อมระบบลดแรงสั่นสะเทือนและแรงกระแทก ทำให้สามารถสามารถบรรทุกน้ำหนักได้มากขึ้น เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว และเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดถภัย ลดการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้ขับขี่ไม่ว่าจะเป็นการขับระยะทางใกล้หรือไกล ประหยัดพลังงานเพื่อความยั่งยืน

เอ็ม เอ เอ็น ให้ความสำคัญกับการลดการใช้พลังงานน้ำมัน เพื่อช่วยผู้ประกอบการลดต้นทุนด้านธุรกิจรวมถึงเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งระบบต่างๆของรถบรรทุกได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้รถบรรทุกสามารถวิ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยที่ลดการใช้พลังงานให้มากที่สุด

รถบรรทุกหัวลากเอ็ม เอ เอ็น ทั้ง 3 รุ่น ที่เปิดตัวในประเทศไทย ผลิตด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ขนาด 10,518 ซีซี เครื่องยนต์รุ่น D20 ผสมผสานเทคโนโลยีคอมมอนเรล ช่วยลดการบริโภคน้ำมันและยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์ให้รองรับการใช้งานระยะทางสูงสุด 1.5 ล้านกิโลเมตร เมื่อตรวจเช็คระยะทุก 120,000 กิโลเมตร นอกจากนี้ เอ็ม เอ เอ็น ยังออกแบบรถบรรทุกด้วยการใช้แนวคิดการเคลื่อไหวของอากาศ โดยแรงต้านอากาศที่ไม่จำเป็นในรถจะถูกคำนวณและลบออก เพื่อให้รถสามารถเคลื่อนตัวได้อย่างเต็มที่และประหยัดน้ำมันสูงที่สุด นอกจากนี้ เอ็ม เอ เอ็นยังมีระบบ MAN Adaptive Cruise Control ที่ช่วยควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมของรถบรรทุก MAN TGS ที่มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ ตรวจจับระยะห่างรถคันหน้าด้วยกล้องมัลติเซนเซอร์ที่คำนวณผลแบบเรียลไทม์ รวมทั้งช่วยลดภาระคันเร่งและเบรก ด้วยการช่วยควบคุมความเร็วและการเบรกของรถให้เหมาะสม และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันอีกด้วย

รถบรรทุก เอ็ม เอ เอ็น ได้รับการตอบรับอย่างดีแม้พึ่งเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยไม่นาน ด้วยการพิสูจน์ด้านสมรรถนะ ความประหยัดพลังงานและบริการหลังการขาย จนได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ประกอบการ นอกจากนี้แบรนด์เอ็ม เอ เอ็น ยังคงมุ่งมั่งพัฒนามาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานของผู้ประกอบการได้อย่างตรงจุดและหลากหลาย ทำให้ผู้ประกอบการสามารถใช้รถบรรทุกของเอ็ม เอ เอ็น เพื่อความคุ้มค่าในการสร้างและขยายธุรกิจต่อเนื่องได้เป็นระยะเวลานานโดยไม่มีปัญหากวนใจ รวมถึงเทคโนโลยีช่วยประหยัดน้ำมัน ไปจนถึงการรับประกันที่ครอบคลุมและบริการหลังการขายที่ครบวงจร ให้ผู้ประกอบการสามารถใช้งานรถบรรทุกได้อย่างยั่งยืนและเต็มประสิทธิภาพ

แชฟฟ์เลอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) พร้อมรุกตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ในไทยและเอเชียแปซิฟิก

แชฟฟ์เลอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) พร้อมรุกตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ในไทยและเอเชียแปซิฟิก

โดยมุ่งไปที่ 5 กลุ่มสินค้าหลักคือ 1. Co2 efficient Drive 2. ระบบช่วงล่าง 3. อุตสาหกรรม 4.0 4. อะไหล่และโซลูชั่นพลังงานทดแทน 5. อะไหล่ทดแทนและการบริการ พร้อมเผยแผนร่วมสนับสนุนวงการมอเตอร์สปอร์ต จัดงาน “โตโย ไทร์ แชฟฟ์เลอร์ เรซซิ่ง คาร์ ไทยแลนด์” (Toyo Tires Schaeffler Racing Car Thailand 2021) ครั้งแรกในไทย

นายไมก้า เชฟพาร์ด ประธานบริหาร ฝ่ายการตลาดหลังการขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและประธานบริหาร บริษัท แชฟฟ์เลอร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวถึงแนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ว่า “ทั้งนี้ ตามรายงานของ IHS คาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกจะสูงถึง 78 - 80 ล้านคัน ซึ่งลดลงจากปี 2562 ที่สูงถึง 90 ล้านคัน ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์โควิด-19 ส่วนสาเหตุที่ทำให้การฟื้นตัวช้านั้นมาจากผลกระทบของการล็อกดาวน์ รวมถึงผลกระทบของ Supply Chain Management อันเนื่องมาจากสารกึ่งตัวนำ หรือ Semi – Conductors และการขาดแคลนพลังงานของจีน ส่งผลให้การผลิต OEMs ลดลง ในขณะที่ความต้องการของลูกค้าทั่วโลกยังมีสูง รวมไปถึงความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้าจากรถยนต์ขนาดเล็กเป็นครอสโอเวอร์และเอสยูวี และการขยายตลาดของรถยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแชฟฟ์เลอร์จะยังคงรักษาธุรกิจ Internal Combustion Engine (ICE) ที่มีอยู่ และให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา รวมถึงการผลิต เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต”

นอกจากนี้ แชฟฟ์เลอร์ยังวางแผนที่จะรุกตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ในไทยและเอเชียแปซิฟิก โดยมุ่งไปที่ 5 กลุ่มสินค้าหลัก คือ 1. Co2 efficient Drive 2) ระบบช่วงล่าง 3) อุตสาหกรรม 4.0 4) อะไหล่และโซลูชั่นพลังงานทดแทน 5) อะไหล่ทดแทนและการบริการ ซึ่งจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์ Covid-19 ที่ค่อย ๆ ดีขึ้น แชฟฟ์เลอร์คาดว่าความต้องการอะไหล่ทดแทนจะสูงขึ้น ประกอบกับการเติบโตของตลาดอะไหล่รถยนต์ของไทยที่กำลังเติบโตตามประเทศอื่นๆ เช่น ออสเตรเลียหรือจีน อายุเฉลี่ยของยานพาหนะเพิ่มขึ้น ทำให้ผู้บริโภคค่อนข้างลงทุนในอะไหล่คุณภาพสูง เพื่อให้แน่ใจว่ามีการบำรุงรักษาที่ดีและเหมาะสม รวมถึงการเพิ่มขึ้นของรถยนต์ใหม่ ๆ ประมาณ 1 ล้านคันต่อปี ทำให้จำนวนรถในตลาดเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 17 ล้านคัน ส่งผลให้ตลาดสินค้าอะไหล่ทดแทนเติบโตมากขึ้นตามไปด้วย

และล่าสุด แชฟฟ์เลอร์ยังมีแผนการทำตลาดในไทยต่อเนื่องด้วยการจับมือกับบริษัท ฟาอีส ยูไนเต็ด มอเตอร์สปอร์ต จำกัด จัดงาน “โตโย ไทร์ แชฟฟ์เลอร์ เรซซิ่ง คาร์ ไทยแลนด์ 2021” (Toyo Tires Schaeffler Racing Car Thailand 2021) ครั้งแรกในไทย โดยการแข่งขันสองรายการแรกทีมแชฟฟ์เลอร์ได้รับชัยชนะทั้งสองรายการติดต่อกัน ทีมของแชฟฟ์เลอร์ลงแข่งในประเภท "Isuzu One Make Race ใน 1.9 และ 3.0" จากการแข่งขันทั้งหมด 21 ประเภท

นายไมก้า เชฟพาร์ด กล่าวเพิ่มเติมว่า “กีฬามอเตอร์สปอร์ตเป็นทั้งความท้าทายและแรงจูงใจที่น่าตื่นเต้น ทั้งกับบุคคลภายนอกและภายในองค์กรของแชฟฟ์เลอร์ สิ่งนี้ดึงเราเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตหลายรายการในฐานะพันธมิตรด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการตั้งค่าระบบส่งกำลัง ตั้งแต่เครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไป ไปจนถึงรถแข่งที่ใช้ไฟฟ้าทั้งหมด และแม้แต่รถรุ่นใหม่ที่ใช้ระบบไฮโดรเจนในอนาคตอันใกล้นี้ งานโตโย ไทร์ แชฟฟ์เลอร์ เรซซิ่ง คาร์ ไทยแลนด์ 2021 เป็นก้าวแรกในการนำความเชี่ยวชาญระดับโลกนี้มาสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตในประเทศไทย เราพร้อมที่จะพัฒนาความร่วมมือด้านเทคโนโลยีนี้กับลูกค้าของเรา และพันธมิตรรายใหม่ทั้งในประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสร้างประสบการณ์การแข่งรถระดับโลกอย่างแท้จริงสำหรับแฟนกีฬามอเตอร์สปอร์ตในภูมิภาค”

นายอดิศักดิ์ มะซอ ผู้อำนวยการจัดการแข่งรถ บริษัท ฟาอีส ยูไนเต็ด มอเตอร์สปอร์ต จำกัด กล่าวว่า “จากประสบการณ์การแข่งขันสู่สถานการณ์เป็นผู้จัดการแข่งขัน ผมต้องการสร้างสถานที่สำหรับนักแข่งหน้าใหม่ เพื่อปั้นให้พวกเขาได้เป็นนักแข่งมืออาชีพ และนั่นคือเหตุผลที่ผมจัดงาน “Racing Car Thailand” ขึ้นมา ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา เราได้ผลิตนักแข่งมืออาชีพมากมาย และแม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 เราก็ยังได้รับความสนใจจากนักแข่งกว่า 400 คัน เข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้ ผมในฐานะตัวแทนคณะผู้จัดงานรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่างแชฟฟ์เลอร์เข้าร่วมการแข่งขัน Formula E และ DTM และให้เกียรติเข้าร่วมเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการในการจัดงานในปีนี้ นับเป็นอีกก้าวหนึ่งในการยกระดับการจัดงานของเราไปสู่ระดับนานาชาติ เช่นเดียวกับการแข่ง Formula E และ DTM ที่สำคัญของโลก และขอขอบคุณรัฐบาลที่อนุญาตให้จัดการแข่งขัน ผมและทีมงานจะมุ่งมั่นปฏิบัติตามมาตรการการป้องกันโรคโควิด-19 อย่างเข้มงวดตามที่แผนที่วางไว้ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ร่วมงานทุกท่าน”

นายวุฒิภัทร คงกฤติพงศ์ (โต๊ะกัง) นักแข่งรถของทีมแชฟฟ์เลอร์ กล่าวว่า “ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้เข้าร่วมกับ แชฟฟ์เลอร์ ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีมที่มีประวัติ และประสบการณ์อันยาวนานในวงการมอเตอร์สปอร์ตระดับโลกที่มีชื่อเสียง เช่น DTM, Formula E, WEC และ TCR ในออสเตรเลีย และยินดีที่ได้มีส่วนร่วมในการเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีในด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ต และผมหวังว่านี่จะเป็นก้าวแรกที่จะนำผมไปสู่เป้าหมายในการเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติเช่นเดียว กับ Mr. Alexander Albon Ansusinha นักแข่งรถ Formula 1”

นางสาวปาริชาติ สุขสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายการตลาดประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แผนกอะไหล่สำรอง บริษัท แชฟฟ์เลอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี ยานยนต์ที่สำคัญสำหรับแชฟฟ์เลอร์ และในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดและการสร้างแบรนด์ เราพร้อมที่จะร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อประโยชน์ต่อชุมชนและธุรกิจของเรา รวมทั้งพร้อมสนับสนุนเครือข่ายพันธมิตรและเจ้าของอู่และศูนย์ซ่อมรถ โดยรายการ Racing Car Thailand เป็นซีรี่ส์การแข่งขันที่สมบูรณ์แบบที่จะช่วยเติมเต็มธุรกิจอะไหล่ทดแทนของแชฟฟ์เลอร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับลูกค้ารถกระบะ อีกทั้งยังเป็นการช่วยเหลือและสนับสนุนธุรกิจในท้องถิ่นและชุมชนในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และเปิดโอกาสให้แชฟฟ์เลอร์ได้เริ่มต้นความร่วมมือครั้งใหม่กับงานที่ทรงเกียรติและ มีชื่อเสียง รวมถึงเปิดโอกาสให้เราได้นำความเชี่ยวชาญด้านกีฬามอเตอร์สปอร์ตมาสู่ประเทศไทย กีฬาแข่งรถเป็นเรื่องของความแม่นยำและความหลงใหล เช่นเดียวกับแชฟฟ์เลอร์ที่หลงใหลในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีความแม่นยำ ผลิตภัณฑ์ของแชฟฟ์เลอร์วางจำหน่ายอย่างกว้างขวางผ่านเครือข่ายผู้จัดจำหน่ายอะไหล่ทดแทนที่มีอยู่ทั่วประเทศ”

อีกหนึ่งในไฮไลท์ของงาน คือ การได้พูดคุยสั้นๆ กับนางสาวโซเฟีย ฟลอร์ซ (Ms.Sophia Floersch) Global Brand Ambassador ของแชฟฟ์เลอร์และนักแข่งรถหญิง DTM all-electric ซีรีย์คนแรกของแชฟฟ์เลอร์ ที่เข้าร่วมงานผ่านไลฟ์สดจากประเทศเยอรมนี ได้กล่าวทักทายและแสดงความยินดีกับนายวุฒิภัทรและแชฟฟ์เลอร์ ไทยแลนด์ เรซซิ่ง ทีมด้วย

บริษัท แชฟฟ์เลอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (SMT) เป็นศูนย์กลางการผลิตชิ้นส่วนและเทคโนโลยี ด้านระบบส่งกำลังสำหรับตลาดภายในประเทศ และต่างประเทศ นอกเหนือจากการให้บริการโซลูชันด้านดิจิทัลและอุตสาหกรรม 4.0 สำหรับลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ แล้ว SMT ยังมุ่งเน้นที่การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของกลุ่มผลิตภัณฑ์อะไหล่ทดแทนให้เหมาะสมกับความต้องการทางการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มตลาดรถปิกอัพและรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดใหญ่ เช่น รถไถ และรถบรรทุก เป็นต้น

นายชัยชาญ โอปนายิกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท แชฟฟ์เลอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวสรุปถึงแผนการตลาดในไทยว่า “แชฟฟ์เลอร์มีแผนที่จะเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์ผ่านกิจกรรมการตลาดแบบหลายช่องทาง เช่น กีฬามอเตอร์สปอร์ต หรือ Isuzu One Make Race เป็นต้น และยังมีแผนที่จะเพิ่มการนำเสนอผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางการตลาดแบบดิจิทัล เช่น เว็บไซต์ SEO Youtubers และอีคอมเมิร์ซ พร้อมกับจัดกิจกรรมทางการตลาดอื่นๆ เช่น การฝึกอบรมลูกค้า งานแสดงสินค้าและเทคโนโลยี และการสร้างแบรนด์ผ่านป้ายร้านผู้จัดจำหน่าย (signage) รวมถึงการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อการพัฒนานักเรียนและนักศึกษา เช่น โครงการ EEC Auto Park, Formula Student Racing ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รวมทั้งจัดกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) และกิจกรรมการสร้างแบรนด์ของพนักงาน สิ่งเหล่านี้จะช่วยสนับสนุน Brand Positioning ของแชฟฟ์เลอร์ในตลาดประเทศไทยได้เป็นอย่างดี”

สำหรับตารางการแข่งขัน “โตโย ไทร์ แชฟฟ์เลอร์ เรซซิ่ง คาร์ ไทยแลนด์ 2021” มีรายละเอียดดังนี้ 
สนามที่ 1 25-26 กันยายน 2564 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ชลบุรี อันดับ 2 ในรุ่น Isuzu One Make Race 1.9 อันดับ 4 Isuzu One Make Race 3.0
สนามที่ 2 16-17 ตุลาคม 2564 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ชลบุรี อันดับ 1 ในรุ่น Isuzu One Make Race 1.9 อันดับ 4 Isuzu One Make Race 3.0
สนามที่ 3 6-7 พฤศจิกายน 2564 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ชลบุรี -
สนามที่ 4 4-5 ธันวาคม 2564 สนามพีระ อินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ชลบุรี -
สนามที่ 5 22-23 มกราคม 2565 ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต บุรีรัมย์ -
ผู้สนใจสามารถติดตามการแข่งขัน "Toyo Tires Schaeffler Racing Car Thailand 2021" ได้ที่ www.schaeffler.co.th
และรับชมการถ่ายทอดสดการแข่งขันผ่านช่อง www.facebook.com/SchaefflerThailand, www.facebook.com/AutoSpicyChannel หรือ www.facebook.com/racingcarthailand

五十铃在2020年蝉联马来西亚排名第一的卡车及首选轻型卡车品牌

新年伊始,马来西亚五十铃(Isuzu Malaysia)便取得了开门红。根据马来西亚汽车商公会(MAA)年度卡车销售数据,马来西亚五十铃凭藉去年的骄人业绩,蝉联两个组别的冠军殊荣——连续7年成为马来西亚排名第一的卡车品牌,以及连续11年成为首选的轻型卡车品牌。

去年,马来西亚五十铃在所有细分市场的卡车总销量为4,747辆,连续7年成为马来西亚排名第一的卡车品牌。

马来西亚五十铃也连续11年成为马来西亚首选的轻型卡车品牌,因为仅仅在去年的一年内,该品牌便卖出4,551辆畅销的ELF轻型卡车。

马来西亚五十铃私人有限公司首席执行员中村幸滋(Koji Nakamura)说:“马来西亚五十铃非常高兴能以骄人的成绩为2020年划上句点。除了蝉联卡车和轻型卡车品类的销售殊荣,我们也凭藉双重喜悦,迎接新的一年。”

“去年,我们售出的卡车总数是马来西亚五十铃私人有限公司自成立以来,创下的最高纪录,而且去年也是本公司在马来西亚成立40周年纪念。因此,此销售殊荣是一个显著的里程碑。它也反映了我们的团队努力不懈,积极开展业务的承诺。我们会竭尽所能加强产品质量和服务效率,给予客户更卓越的服务。”

“过去一年的疫情已对各行各业和百姓带来严酷的挑战。虽然市道欠佳,但是,我感到很高兴,因为我们顺利渡过难关,并且充分运用我们的资源,协助客户推进业务运营。”

中村幸滋表示,尽管过去一年市场形势严峻,但是,为了保持卡车销售业绩增长,提高服务质量及客户满意度,马来西亚五十铃已实施了各种战略倡议,包括扩大经销商网络、推出创新产品、确保新车及时交付给客户。

五十铃在去年蝉联人们首选轻型卡车品牌的其中一个重要因素,得归功于ELF升级版车款的面市。这款搭载Isuzu Safety Plus平台的卡车,大幅提升卡车的安全系统、兼容B20生物柴油,并且提供额外延长保修。此升级配套适用于19款ELF轻型卡车,协助卡车运营商经营一个更安全、更高效及可持续的业务。畅销的ELF轻型卡车已成为轻型卡车市场车款最广泛的卡车系列。

他续称:“马来西亚五十铃的战略一直围绕在提高客户的满意度和生产力。我感到很高兴,因为我们的销售殊荣显示了我们去年的表现良好。我要赞扬和感谢所有员工和技术娴熟的经销商团队,他们一直尽心尽力为客户服务,奠定了马来西亚五十铃不可动摇的地位。”

中村幸滋说:“展望新的一年,我相信马来西亚经济会逐步复苏,各行各业也会走出疫情低谷。虽然五十铃已成为推出优良、耐用和符合成本效益卡车的家喻户晓品牌,但是,我们依旧会专注提供卓越服务和价值给客户。今年,马来西亚五十铃最重要的目标是继续支援必要服务、确保交车顺利以及改善企业运营和人们的日常生活。”   

五十铃的新卡车协助MR D.I.Y.走得更远

马来西亚五十铃(Isuzu Malaysia)私人有限公司最近移交8辆Forward 系列(F系列)中型卡车给本地知名的零售巨企MR D.I.Y. Group(马)有限公司(简称MR D.I.Y.)。

MR D.I.Y.从五十铃授权经销商Ultra Gallant 私人有限公司处新添购的卡车包括6辆五十铃FSR90卡车和2辆FVR300卡车,它们将进一步满足MR D.I.Y.在全马各地实施的扩张计划和日益繁重的运输需求。

卡车移交仪式日前在MR D.I.Y.位于雪兰莪沙登的总部举行。五十铃代表将一把模拟钥匙交给MR D.I.Y.负责人象征该公司正式把卡车移交给MR D.I.Y.。出席观礼的嘉宾包括五十铃、MR D.I.Y.和Ultra Gallant的高级管理人员。

马来西亚五十铃私人有限公司首席执行员中村幸滋(Koji Nakamura)说:“我们很高兴交付8辆FSR90 和 FVR300卡车给MR D.I.Y.,并且继续提供他们所需的支援,让他们顺利应对日益繁忙的物流任务。我们衷心感谢MR D.I.Y.对五十铃的支持和信任。”

MR D.I.Y. 于2017年购买第一辆五十铃卡车,并在过去4年逐步添购更多辆五十铃卡车。如今,MR D.I.Y.的车队总共拥有100辆五十铃卡车,包括新增的8辆卡车以及早前所购买的五十铃卡车。

中村幸滋说:“作为全球最大的日本卡车制造商之一,我们有责任为客户提供优质的商用车,以提升他们的商业运营效率和生产力。”

他续称,两款卡车都是五十铃F系列的中型商用车。它们是该公司数十年来不断研发新卡车车型的杰作,来自世界各地的客户都依赖其先进的功能、创新的设计和可靠的性能。

中村幸滋续称:“五十铃F系列商用车有5种动力系统供选,它们的性能和扭矩各不相同,经优化的轴距能让卡车享有更大的承载能力和车身安装能力,为迈向成功的企业提供多种用途。”

MR D.I.Y.的发言人在移交仪式上说:“MR D.I.Y.正处在一个强劲的增长轨道上。目前,我们有700家门店,并计划在2021年为旗下3个品牌再开设175家新门店。集中管理分销系统是推动本公司发展的主要因素。五十铃一直是我们珍惜的长期合作伙伴,它非常了解我们的需要,也竭尽所能满足我们的需求。”


中村幸滋说:“五十铃FSR90 和 FVR300中型卡车是理想、适应性强以及具有附加价值的卡车,它能满足任何运输任务的需求。FSR90 和 FVR300的卡车总重量分别为11公吨900公斤和19公吨,我们相信这些卡车必能给予MR D.I.Y.绝对的生产力、可靠性和安全性,让MR D.I.Y.的业绩再创高峰。” 

从2021年起,所有新Scania卡车及巴士都会采用节能模式为默认驾驶模式以实现Scania 科学碳目标和提升利润

从2021年开始,凡是具备Opticruise功能的新Scania卡车及巴士都预设节能模式(Economy Mode或简称Eco Mode)为默认驾驶模式。此举是为确保客户享有最佳燃油节省和二氧化碳排放削减,以符合科学碳目标(Science Based Targets或简称SBTi)。至于在2021之前购买卡车或巴士的Scania 客户则可以前往全国各地任何一家授权Scania维修厂,为车辆设定节能模式为默认模式。此服务原本需征收人工费用,如今将免费直至2022年12月31日。因此,客户受促立即将卡车或巴士送往各维修厂以享有此免费优惠。

Scania东南亚区业务支援总监Tom Kuiphuis表示:“无论车辆在之前熄火时是处于何种驾驶模式,每一次发动引擎时,Scania卡车或巴士都会以节能模式运作。这将确保多数时候车辆可以达到最佳燃油效率。然而,视驾驶情况所需,驾驶员仍然可以从节能模式转换至其它性能模式。”

Scania力求在最迟2025年实现其科学碳目标,在Scania营运和客户车辆方面分别减少百分之五十和百分之二十的碳足迹,而节能模式是Scania实现此目标的众多举措之一。此目标旨在减缓全球气温上升,也是Scania秉持2015年巴黎协定的承诺,使全球暖化幅度控制在工业化前水平以上摄氏2度之内,同时致力限制它不超过摄氏1.5度。

供航运集装箱用途的Scania卡车可达每公升4公里的最佳耗油率及削减达每公里0.82公斤的氧化碳排放。大宗货物运输用途的最佳耗油率可达每公升3.6公里及削减高达每公里0.81公斤二氧化碳排放。一般货物用途卡车的最佳耗油率可达每公升3.6公里及削减高达每公里0.77公斤二氧化碳排放。倾斜拖拉车的最佳耗油率可达每公升2.0公里及削减高达每公里0.93公斤的二氧化碳排放。节能模式配合Scania其它全方位解决方案,如R&M7分期付款计划等可帮助业者持续实现燃油节省和削减二氧化碳排放。

客户亦可在车辆交付之前或在接收新Scania车辆之后选择不设定节能模式为默认设置。客户可在交付车辆之前通知Scania营业代表;若在车辆交付之后则可将车辆送往任何一家Scania维修厂,将设置更换成他们所要的选择。这些服务将需支付人工费。

Tom补充道:“凡是具备Opticruise功能的Scania卡车,只需预设节能模式为默认模式便可节省燃油,保护环境,同时提升利润。加上Scania的保养和资融服务,客户可以在营造成功业务之际为实现科学碳目标方面出一份力。因此,我极力鼓励客户选择采用它,与我们同心协力为他们的业务和地球打造一个可持续发展的未来。” 

歐洲銷售冠軍IVECO於商業車博覽會首度展出全新18.5噸 New Eurocargo系列及全台唯一長軸6570高頂頭等艙車款

IVECO中大型商用車總代理- 常榮機械(隸屬安東集團),於2021年臺中商業車博覽會,首度展出全新18.5噸Eurocargo、及全台唯一長軸6570高頂頭等艙車款。Eurocargo有著多樣化軸距可供選擇並有著18.5噸高載重,絕對是兼具性能和低油耗的中型城市商用車,滿足市場中大型卡車各種載運需求。

商業車博覽會自4/15日起至 4/18日於臺中國際展覽中心舉行,IVECO展出地點為一館三區C11展位。

三款IVECO展出車款特色介紹如下:
Eurocargo 3690: 總重18.5 噸能提供更高載重量,擁有優越的性能與絕佳操控性,加上穩居市場領先地位的人體工學設計及舒適性。此車款搭載了Euro VI-D Tector 6.7 升六缸柴油引擎,能產出最高320 Hp的動力表現,並採用 9 速手排變速箱實現最佳的動力輸出與油耗表現,進一步減低行車成本;時刻用車無負擔,衝刺事業更心安。

兩款Eurocargo 6570,含全台唯一長軸高頂頭等艙: 提供標準艙及高頂頭等艙兩種型式,其中高頂頭等艙提供更舒適駕馭空間以外,更提供駕駛更大的活動及休息空間,同時也搭載IVECO Tector 六缸引擎、提供 320Hp 的動力及搭配 12速手排變速箱,使Eurocargo 更擁有出色的動力性能和最佳省油效能,能滿足各種載運需求。

IVECO 東南亞及日本業務總監 Michelangelo Amelia 表示:「台灣對碳排放的要 求嚴謹,是IVECO在東南亞區的指標市場,身為客戶的最佳夥伴,我們將持續提 供最高品質的車款給台灣客戶選擇。憑藉著多用途性以及永續性,我們有信心 Eurocargo會是市場上最受歡迎的品牌。」

安東集團(常榮機械)銷售經理林建良則指出:「安東集團(常榮機械)一直致力於將最合適的商用車引進台灣市場,努力以最優異的性能及最具市場競爭力的價格,回應客戶對我們的期待。我們正逐步擴增服務據點,提供車主服務與保養的全面關懷。」

Eurocargo:受城市青睞的卡車
為符合中型商用車主要使用於送貨與市政服務,IVECO特別把性能提升與降低油耗作為產品設計重點。集結 FPT 引擎、15 至 18.5 噸總重、EuroTronic 和 Allison 變速箱、具被動柴油微粒過濾器 (DPF) 的 HI-SCR 系統以及高水準駕駛輔助系統如車道偏移警示系統 (LDWS)、自動緊急剎車系統 (AEBS) 和主動跟車系統 (ACC),使 Eurocargo 成為受城市寵愛的卡車。

多用途卡車
更勝以往的魅力、多功能、效率以及操控性:Eurocargo 在提升設計與功能的同時,更重要是維持車輛之可靠性、耐用與多選擇性。在這個瞬息萬變的世界以及競爭日益劇烈的市場,全新Eurocargo 絕對是每一位車主的事業幫手和夥伴。

IVECO HI-SCR 系統:最具效能的 Euro VI 技術
HI-SCR 是 IVECO 的獨家技術,透過新鮮乾淨的進氣來作用,不是透過廢氣再循環 (EGR)使其為唯一不會改變燃燒過程的排放控制系統。這樣能讓微粒物質的比例相當低,因此不需要主動式 DPF,所以也不用強制 DPF 再生。

歡迎蒞臨IVECO參觀指教,商業車博覽會展覽資訊如下:
 展車日期 |4/15 (四)~4/18 (日) 09:00-17:30
 展車地點 |臺中國際展覽館(臺中市烏日區中山路三段1號)一館3區
 IVECO攤位號碼 | C11 

马来西亚SCANIA新旗舰销售和服务分行在柔佛州士乃开张营业

马来西亚Scania位于柔佛州士乃的新销售和服务分行已开张营业。此旗舰永续发展分行坐落于Lot 39795, Jalan Idaman, Taman Perindustrian Senai, 81400 Senai, Johor Darul Ta’zim。

Scania东南亚区董事经理Heba Eltarifi说:“我们自2002年起便在柔佛州运作。柔佛是通往马来西亚半岛广大交通网络的南边门户。因此,迁往更大更先进的士乃场地可迎合州内外客户日益增加的需求。”

新分行占地五千平方米,拥有宽敞的户外空间和许多绿肺园艺造景。该处全部采用LED灯,同时为了符合Scania的永续发展目标而安装了雨水收集系统、综合先进注油系统、废油管理系统和环保站以确保可分类和回收废料。接下来将会安装太阳能板,以充分利用马来西亚充沛的阳光采集再生能源。

一组训练有素的雇员团队负责运作维修厂的十六个工作场地和一个桥式起重机。

南马区域经理Anders Liss指出:“我们有广泛的产品和服务以不断支持客户的业务,带来最佳正常运转时间和燃油节约。客户们明白他们必需定期保养Scania卡车、长途巴士和旅游巴士方可实现这些利益。有鉴于此,我们的维修和保养服务也日益受欢迎,而我们的新设施将可以给予全面支持。”

签订一份Scania合约之后,客户便可享有‘自家’服务厂和一支彻底了解Scania车辆的服务团队。此维修和保养合约日渐受欢迎,它可确保Scania车辆和引擎,从动力系统至全车都获得保障。我们的服务团队也保证客户在必要时将获得良好忠告、保养和零件。Scania的亚洲零件中心在新加坡,因此可持续提供和快速运送零件。通过Scania车队管理系统连接所得的实时车辆数据有利主动和预防性服务,可充分提高客户的正常运转时间和经营经济。

Anders表示:“Scania将继续推动迈向永续运输发展系统,我们的客户不仅赞赏我们领先业内的节省燃油车辆,他们也重视双方之间为减少碳排放而建立的合作关系。在柔佛,客户如Mohd. Sidek Amzah Enterprise、Naidu Trans Logistic和Narita Shipping & Transport等利用Scania Ecolution引领大家迈向更环保的绿色未来。因此,此设施不仅将增强和促进我们长期以来对柔佛州运输交通的支持,同时也将与客户们一起倡导柔佛进入一个更新颖、更兴旺和永续发展的未来。” 

马来西亚SCANIA新旗舰销售和服务分行在柔佛州士乃开张营业

Scania Singapore announced that it has commenced sales for its battery electric trucks from 6 April 2022. It also announced the signing of a sales agreement today with its first customer, ALBA W&H Smart City, for 15 battery electric trucks, the first European-branded battery electric trucks in Singapore.

The L230B6X2*4NB trucks will be delivered in two batches. With the initial batch, which is already in production planning, Scania will homologate its battery electric trucks and the respective charging infrastructure in Singapore, while the second batch will demonstrate Scania’s ability to rolled out the vehicles on a fleet level.

In launching battery electric trucks, Scania aims to contribute to Singapore’s goal for all vehicles to run on cleaner energy by 2040 as well as Scania’s science-based targets for a 20% reduction in Scope 3 greenhouse gas emissions generated through customers’ usage of its products.

“We are very pleased to welcome ALBA W&H Smart City as our pioneering partner towards more sustainable transportation in Singapore,” says Anders Liss, Country Manager of Scania Singapore. “It’s a significant leap forward in showcasing carbon-neutral transportation at a time when more organisations are coming on board to address the global climate crisis. ALBA together with Scania in a sustainable partnership is now part of the SG Green Plan 2030 journey towards net-zero emissions.”

“Being a city state, Singapore is the logical choice for us to establish our first fleet of fully electric vehicles,” said Sashi Kumar, General Manager of Solid Waste from ALBA W&H Smart City. “However, at the same time it is a highly competitive and demanding market with the highest service level expected worldwide, including daily collections and up to 12-hour shifts of continuous operation.”

Mr Kumar added: “We have monitored the market for electric vehicles for several years now and are happy that with Scania’s battery electric trucks, we finally found an electrified chassis that is ready for our daily grind of waste collection in the clean and green city of Singapore.”

The battery electric trucks can operate at close to zero emissions when using cleaner sources of electricity supplemented with the purchase of renewable energy certificates.

Each truck operates as a permanent magnet electric machine with oil spray cooling, with peak propulsion of about 295kW, 2,200 Nm and continuous propulsion of about 230 kW, 1300 Nm. With up to 250 km range on a single charge, it can cover short and medium distances on electric power.

Nine lithium-ion batteries, with an installed capacity of 297 kW, are backed by up to eight years of warranty. Direct current charging is carried out by the European-standard CCS type 2 plug-in connection at up to 130 kW/ 200 A.

In Singapore, customers can choose from the P-cab or L-cab series and 4x2, 6x2 or 6x2*4 wheel configurations with a maximum gross trailer weight of 28 tonnes. The battery electric trucks are suitable for urban operations such as distribution, waste collection, hook lifts, tippers and concrete mixers.

Mr Liss added: “An investment in a battery electric truck improves operators’ branding and market competitiveness as responsible organisations. They are addressing their own climate goals as well as the climate goals of their customers and society.”

Scania’s battery electric trucks are sold as a total solution with charging infrastructure, vehicle optimisation customised to the customer’s operations, repair and maintenance services and the option for financing and insurance services.

ALBA W&H Smart City is a joint venture between Berlin-based ALBA Group, one of the leading recycling and environmental services companies as well as raw material providers worldwide, and Wah & Hua, a leading Singapore waste management provider. In Singapore, the company is the NEA appointed Public Waste Collector for Jurong and Woodlands-Yishun sectors, where ALBA has established itself to be a leader in the space with their innovative suite of sustainability, digitalisation, and productivity solutions.